สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 2% เมื่อคืนนี้ (1 ก.พ.) โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า พายุหิมะทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐจะทำให้ความต้องการใช้พลังงานปรับตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้ปัจจัยบวกจากการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันของซาอุดีอาระเบีย
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค. พุ่งขึ้น 1.35 ดอลลาร์ หรือ 2.6% ปิดที่ 53.55 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 1.31 ดอลลาร์ หรือ 2.4% ปิดที่ 56.35 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักลงทุนคาดการณ์ว่า ความต้องการใช้พลังงานในสหรัฐจะสูงขึ้นเนื่องจากพื้นที่ฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐกำลังเผชิญพายุหิมะที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายปี โดยพายุหิมะครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่รัฐเพนซิลเวเนียไปจนถึงนิวอิงแลนด์
รายงานระบุว่า สายการบินต่างๆในสหรัฐประกาศยกเลิกเที่ยวบินในพื้นที่นครนิวยอร์ก เนื่องจากความกังวลที่ว่าอาจจะเกิดลมกรรโชกแรงและหิมะตกหนักในภูมิภาค โดยเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเรียกร้องให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการเดินทางบนท้องถนน
ข้อมูลจาก Flightaware.com ระบุว่า สายการบินประกาศยกเลิกเที่ยวบิน 151 เที่ยวหรือคิดเป็น 3 ใน 4 ของเที่ยวบินที่เดินทางออกจากสนามบินนานาชาติจอห์น เอฟ. เคนเนดี รวมถึงอีก 102 เที่ยวบิน หรือคิดเป็น 86% จากสนามบินลากวาร์เดีย
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้ปัจจัยหนุนจากรายงานที่ว่ากลุ่มโอเปกพลัสได้ปฏิบัติตามข้อตกลงการปรับลดการผลิตน้ำมันอย่างเคร่งครัด โดยซาอุดีอาระเบียปรับลดกำลังการผลิต 1 ล้านบาร์เรล/วัน สู่ระดับ 8.125 ล้านบาร์เรล/วัน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.ไปจนถึงสิ้นเดือนมี.ค. ขณะที่กลุ่มโอเปกพลัส มีกำหนดคงกำลังการผลิตน้ำมันที่ระดับ 7.2 ล้านบาร์เรล/วันในช่วงเวลาดังกล่าว