สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI พลิกร่วงลงต่ำกว่า 64 ดอลลาร์ในวันนี้ หลังการเปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่พุ่งขึ้นมากเกินคาด
ณ เวลา 23.42 น.ตามเวลาไทย สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนเม.ย. ซึ่งมีการซื้อขายที่ตลาด NYMEX ลบ 32 เซนต์ หรือ 0.5% สู่ระดับ 63.69 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังดีดตัวเหนือ 64 ดอลลาร์ในช่วงแรก
สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐพุ่งขึ้น 13.8 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้นเพียง 2.7 ล้านบาร์เรล
สถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันของสหรัฐ เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 12.8 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว
EIA ยังเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคูชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 500,000 บาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 11.9 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 4.8 ล้านบาร์เรล
นอกจากนี้ สต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ลดลง 5.5 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 3.8 ล้านบาร์เรล
อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันได้ปัจจัยหนุนจากการที่องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 5.6% ในปีนี้ หากการฉีดวัคซีนโควิด-19 ดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ขณะเดียวกัน ตลาดได้ปัจจัยบวกหลังจากที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส มีมติคงเพดานการผลิตน้ำมันที่ระดับ 7.2 ล้านบาร์เรล/วันต่อไปจนถึงเดือนเม.ย. ขณะที่ซาอุดีอาระเบียสมัครใจที่จะปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน 1 ล้านบาร์เรล/วันต่อไปอีก 1 เดือน
นักลงทุนยังคาดการณ์ว่าอุปสงค์น้ำมันจะเพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ขณะที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐจะทำการพิจารณาและลงมติต่อร่างกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ในวันนี้ หลังจากที่ผ่านการอนุมัติจากวุฒิสภาเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่งหากสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐให้การอนุมัติ ก็จะส่งต่อไปยังประธานาธิบดีโจ ไบเดน เพื่อลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมายก่อนวันที่ 14 มี.ค. ซึ่งเป็นวันที่มาตรการช่วยเหลือผู้ว่างงานในปัจจุบันจะหมดอายุลง
ทางด้านนางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ของปธน.ไบเดนจะช่วยให้รัฐบาลสหรัฐมีทรัพยากรที่เพียงพอในการผลักดันให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และจะทำให้การจ้างงานของสหรัฐกลับสู่ระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ภายในปีหน้า