สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลดลงเมื่อคืนนี้ (12 มี.ค) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไร หลังจากราคาทะยานขึ้นก่อนหน้านี้จากความเชื่อมั่นที่ว่าความต้องการน้ำมันเบนซินที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐได้ช่วยหนุนราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นปิดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2562
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย. ลดลง 41 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 65.61 ดอลลาร์/บาร์เรล และปรับตัวลง 0.7% ในรอบสัปดาห์นี้
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ค. ลดลง 41 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 69.22 ดอลลาร์/บาร์เรล และปรับตัวลง 0.2% ในรอบสัปดาห์นี้
ราคาน้ำมันถูกกดดันในสัปดาห์นี้ เนื่องจากสต็อกน้ำมันทั่วโลกยังคงมีปริมาณมาก แม้กลุ่มโอเปกพลัสได้ตัดสินใจเมื่อต้นเดือนนี้ที่จะยังคงปรับลดการผลิตน้ำมันต่อไปจนถึงเดือนเม.ย.ก็ตาม
บรรดานักลงทุนได้เทขายทำกำไรสัญญาน้ำมันดิบ WTI และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ หลังจากที่ราคาพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 13 เดือนเมื่อวันจันทร์ และปรับตัวขึ้น 7 สัปดาห์ติดต่อกัน
ราคาน้ำมันได้รับผลกระทบจากแนวโน้มการผลิตน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐด้วย โดยเจพีมอร์แกนคาดว่า สหรัฐจะผลิตน้ำมันได้โดยเฉลี่ย 11.36 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีนี้ เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ 11.32 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2563
นักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกนคาดว่า ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจะกระตุ้นให้ผู้ผลิตสหรัฐเพิ่มการผลิต ซึ่งจะถ่วงราคาลงในที่สุด
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบ WTI และน้ำมันดิบเบรนท์ยังคงปิดตลาดวันศุกร์ใกล้ระดับ 70 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยยังคงได้แรงหนุนจากการปรับลดการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปกพลัส และความเชื่อมั่นเกี่ยวกับอุปสงค์น้ำมันที่จะฟื้นตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้