สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เมื่อคืนนี้ (17 มี.ค) หลังสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 4 นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากการที่หลายประเทศในยุโรปยังคงใช้มาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย. ลดลง 20 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 64.60 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ค. ลดลง 39 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 68.00 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวลง หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 2.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 12 มี.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 4 สัปดาห์ และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของเอสแอนด์พี โกลบอล แพลทส์ คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 4 แสนบาร์เรล
รายงานของ EIA ยังระบุว่า สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 472,000 บาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 2.9 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 255,000 บาร์เรล ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 3.3 ล้านบาร์เรล
ราคาน้ำมันยังถูกกดดันจากการที่สำนักงานพลังงานสากล (IEA) ออกรายงานระบุว่า อุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกจะยังไม่กลับสู่ระดับก่อนการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จนกว่าจะถึงปี 2566
นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายในตลาดน้ำมันยังได้รับแรงกดดันจากความกังวลที่ว่า ความต้องการใช้น้ำมันในยุโรปจะชะลอตัวลงเนื่องจากผลกระทบของมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมทั้งการที่หลายประเทศในยุโรปซึ่งรวมถึงเยอรมนี ได้ประกาศระงับการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าหลังมีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตจากอาการแข็งตัวของเลือดที่ผิดปกติ
ทั้งนี้ นักลงทุนกังวลว่า การระงับวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าอาจส่งผลให้แผนการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในยุโรปดำเนินไปอย่างล่าช้า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน