สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 เมื่อคืนนี้ (29 เม.ย.) หลังสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง รวมถึงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ซึ่งช่วยให้นักลงทุนมีความหวังว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะช่วยให้ความต้องการใช้น้ำมันปรับตัวขึ้นด้วย
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 1.15 ดอลลาร์ หรือ 1.8% ปิดที่ 65.01 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค.2564
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 1.29 ดอลลาร์ หรือ 1.9% ปิดที่ 68.56 ดอลลาร์/บาร์เรล
ทางการสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งหลายรายการเมื่อคืนนี้ ซึ่งช่วยให้นักลงทุนมีความหวังว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวจะเป็นปัจจัยหนุนความต้องการใช้น้ำมันให้ดีดตัวขึ้นด้วย โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลข GDP ไตรมาส 1 ขยายตัว 6.4% ซึ่งใกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ในช่วง 6.1-6.5% และเป็นตัวเลขการขยายตัวสูงเป็นอันดับ 2 นับตั้งแต่ไตรมาส 3/2546
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะมีการขยายตัวมากกว่า 7.0% ในปีนี้ ซึ่งจะเป็นการขยายตัวสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2527 หลังจากหดตัว 3.5% ในปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการหดตัวรุนแรงที่สุดในรอบ 74 ปี
ทางด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 13,000 ราย สู่ระดับ 553,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐเมื่อเดือนมี.ค.2563
นอกจากนี้ สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เพิ่มขึ้น 1.9% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายเดือน โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นหลังการฟื้นตัวของตลาดแรงงาน รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองที่ระดับต่ำ
ตลาดน้ำมันยังได้ปัจจัยหนุนจากการที่โกลด์แมน แซคส์คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะพุ่งขึ้นแตะระดับ 80 ดอลลาร์/บาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ WTI จะดีดตัวขึ้นแตะระดับ 77 ดอลลาร์/บาร์เรลในช่วง 6 เดือนข้างหน้า โดยได้ปัจจัยหนุนจากความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้น 5.2 ล้านบาร์เรล/วัน รวมทั้งการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในวงกว้าง ซึ่งจะช่วยเพิ่มความต้องการในการเดินทางระหว่างประเทศ