สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (4 พ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากข่าวสหรัฐและยุโรปผ่อนคลายมาตรการเข้มงวดในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งทำให้นักลงทุนมีความหวังว่าความต้องการใช้น้ำมันจะฟื้นตัวขึ้น ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 1.20 ดอลลาร์ หรือ 1.9% ปิดที่ 65.69 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 1.32 ดอลลาร์ หรือ 2% ปิดที่ 68.88 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2564
สัญญาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นหลังจากคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) วางแผนที่จะผ่อนคลายข้อจำกัดเกี่ยวกับการควบคุมโรคโควิด-19 เพื่อส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว ขณะเดียวกันคณะกรรมาธิการยุโรปแนะนำให้ทำการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติจากประเทศต่างๆ จำนวนมากขึ้นเข้าสู่ยูโรโซน ซึ่งคาดว่าจะช่วยหนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในฤดูร้อนนี้
ส่วนในฝั่งสหรัฐนั้นมีรายงานว่า หลายรัฐในสหรัฐได้เริ่มประกาศแผนการยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ และบางรัฐมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ขณะที่มีรายงานว่าจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ในสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับต่ำกว่า 50,000 รายต่อวันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนต.ค.
นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐยังช่วยให้นักลงทุนคาดหวังว่าความต้องการใช้น้ำมันจะฟื้นตัวขึ้น โดยไอเอชเอส มาร์กิตซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงินเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 60.5 ในเดือนเม.ย. จากระดับ 59.1 ในเดือนมี.ค.
ทั้งนี้ ดัชนี PMI ดีดตัวขึ้นในเดือนเม.ย.แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เริ่มมีการรวบรวมข้อมูลดังกล่าวในเดือนพ.ค. 2550 และดัชนียังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะขยายตัวของภาคการผลิตของสหรัฐ
นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยในวันนี้เวลา 21.30 น.ตามเวลาไทย ขณะที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของเอสแอนด์พี โกลบอล แพลทส์ คาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันดิบจะลดลง 3.9 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 30 ขณะเดียวกันคาดว่าสต็อกน้ำมันเบนซินจะลดลง 500,000 บาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่นจะลดลง 1.3 ล้านบาร์เรล