สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (14 พ.ค.) และปรับตัวขึ้นในรอบสัปดาห์นี้ โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์แนวโน้มอุปสงค์น้ำมันที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. พุ่งขึ้น 1.55 ดอลลาร์ หรือ 2.4% ปิดที่ 65.37 ดอลลาร์/บาร์เรล และเพิ่มขึ้น 0.7% ในรอบสัปดาห์นี้
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ค. พุ่งขึ้น 1.66 ดอลลาร์ หรือ 2.5% ปิดที่ 68.71 ดอลลาร์/บาร์เรล และเพิ่มขึ้น 0.6% ในรอบสัปดาห์นี้
สำนักงานพลังงานสากล (IEA) เปิดเผยรายงานล่าสุดเมื่อวันพุธที่ผ่านมาคาดว่า อุปสงค์น้ำมันดิบในตลาดโลกจะเพิ่มขึ้น 5.4 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีนี้ และคาดว่าอุปสงค์น้ำมันจะฟื้นตัวแข็งแกร่งขึ้นอีกในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดีดตัวขึ้นจากแรงซื้อคืนหลังร่วงลงในวันพฤหัสบดี และได้แรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นอย่างมากของตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน
นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันยังได้แรงหนุนจากแนวโน้มความต้องการใช้น้ำมันเบนซินในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้าก่อนถึงวันเมมโมเรียลเดย์ในวันที่ 31 พ.ค.ซึ่งเป็นวันหยุดในสหรัฐ ซึ่งความต้องการใช้น้ำมันมักพุ่งสูงสุดในช่วงดังกล่าว เนื่องจากชาวอเมริกันจะออกเดินทางพักผ่อนวันหยุดฤดูร้อน โดยสมาคมรถยนต์อเมริกันคาดว่า จะมีผู้เดินทางบนท้องถนนราว 37 ล้านคนในช่วงวันดังกล่าว เพิ่มขึ้น 60% จาก 23 ล้านคนของปีที่ผ่านมา
นักลงทุนได้กลับเข้าซื้อสัญญาน้ำมัน หลังจากราคาร่วงลงเมื่อวันพฤหัสบดีจากรายงานที่ว่า บริษัทโคโลเนียล ไปป์ไลน์จะกลับมาเปิดท่อส่งน้ำมันอีกครั้ง หลังถูกปิดเป็นเวลาหลายวันเนื่องจากถูกโจมตีทางไซเบอร์ นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันก่อนหน้านี้จากความกังวลที่ว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อาจส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมันในอินเดียซึ่งเป็นประเทศนำเข้าน้ำมันรายใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก
บรรดานักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ท่ามกลางการสู้รบระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ที่อาจลุกลามกลายเป็นการทำสงครามอย่างเต็มรูปแบบ