สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (4 มิ.ย.) สู่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี โดยได้แรงหนุนจากการที่บรรดาเทรดเดอร์คาดว่า อุปสงค์น้ำมันที่จะฟื้นตัวขึ้นในช่วงฤดูร้อนนี้ จะทำให้ปริมาณน้ำมันดิบตึงตัวขึ้น นอกจากนี้ การที่เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงนั้นได้ช่วยหนุนสัญญาน้ำมันดิบด้วย
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 81 เซนต์ หรือ 1.2% ปิดที่ 69.62 ดอลลาร์/บาร์เรล และปรับตัวขึ้น 5% ในรอบสัปดาห์นี้
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 58 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 71.89 ดอลลาร์/บาร์เรล และปรับตัวขึ้น 4.6% ในรอบสัปดาห์นี้
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2561 และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2562
สัญญาน้ำมันดิบได้แรงหนุนจากการที่ดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงซึ่งทำให้สัญญาน้ำมันมีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น โดยดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.41% สู่ระดับ 90.1401
ตลาดน้ำมันได้แรงหนุนจากการเปิดเผยข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่ลดลงเกินคาด โดยสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยในวันพฤหัสบดีว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐร่วงลง 5.1 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าอาจลดลง 3.3 ล้านบาร์เรล โดยข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับรายงานของสถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐร่วงลง 5.360 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 28 พ.ค.
ราคาน้ำมันได้ปรับตัวขึ้นขานรับอุปสงค์น้ำมันในตลาดจากการที่หลายประเทศทำการเปิดเศรษฐกิจแล้วขณะที่เข้าสู่ช่วงฤดูร้อน รวมทั้งการที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตรหรือโอเปกพลัส ยังคงรักษาข้อตกลงในการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันยังได้ปัจจัยบวกจากความล่าช้าในการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐและอิหร่าน ซึ่งจะทำให้อิหร่านยังไม่มีแนวโน้มที่จะส่งน้ำมันออกสู่ตลาดในเร็วๆนี้