สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ปีเมื่อคืนนี้ (13 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐจะปรับตัวลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 8 ซึ่งช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์พลังงานที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. พุ่งขึ้น 1.15 ดอลลาร์ หรือ 1.6% ปิดที่ 75.25 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2561
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 1.33 ดอลลาร์ หรือ 1.8% ปิดที่ 76.49 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 5 ก.ค.ปีนี้
สัญญาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นขานรับการคาดการณ์ที่ว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐจะปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยนักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของเอสแอนด์พี โกลบอล แพลทส์คาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันดิบจะลดลง 4.9 ล้านบาร์เรลในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 9 ก.ค. ซึ่งจะเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 8
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์คาดว่า สต็อกน้ำมันเบนซินจะลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล แต่คาดว่าสต็อกน้ำมันกลั่นซึ่งรวมถึงน้ำมันดีเซลและฮีทติ้งออยล์จะเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรล
ทั้งนี้ สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยรายงานสต็อกน้ำมันประจำสัปดาห์ในวันนี้ เวลา 21.30 น.ตามเวลาไทย
นักลงทุนยังคงจับตาความเคลื่อนไหวของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส หลังจากโอเปกพลัสได้เลื่อนการประชุมออกไปโดยไม่มีกำหนด เนื่องจากยังไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับนโยบายการผลิตน้ำมัน
รายงานระบุว่า ซาอุดีอาระเบียและรัสเซียเสนอให้เพิ่มกำลังการผลิตรวม 2 ล้านบาร์เรล/วันในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยให้ทยอยปรับเพิ่มเฉลี่ยเดือนละ 400,000 บาร์เรล/วันตั้งแต่เดือนส.ค.ไปจนถึงเดือนธ.ค.2564 และขยายเวลาในการปรับลดกำลังการผลิตที่เหลือไปจนถึงปลายปี 2565
อย่างไรก็ดี UAE ได้คัดค้านข้อเสนอดังกล่าว พร้อมกับเรียกร้องมีการเปลี่ยนแปลงเกณฑ์ในการกำหนดระดับการผลิตขั้นต่ำ เนื่องจาก UAE ต้องการเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อเพิ่มรายได้จากการจำหน่ายน้ำมัน หลังจากที่ประเทศต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19