สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเกือบ 3% เมื่อคืนนี้ (14 ก.ค.) หลังมีรายงานว่า ซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) สามารถบรรลุข้อตกลงในการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากรายงานสต็อกน้ำมันเบนซินของสหรัฐที่พุ่งขึ้นสวนทางกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 2.12 ดอลลาร์ หรือ 2.8% ปิดที่ 73.13 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 1.73 ดอลลาร์ หรือ 2.3% ปิดที่ 74.76 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบร่วงลงหลังมีรายงานว่า ซาอุดีอาระเบียและ UAE สามารถบรรลุข้อตกลงในการผลิตน้ำมันได้แล้ว โดยจะมีการปรับเพิ่มระดับการผลิตน้ำมันขั้นต่ำของ UAE สู่ระดับ 3.65 ล้านบาร์เรล/วัน หลังจากที่ข้อตกลงเดิมหมดอายุในเดือนเม.ย.2565 จากปัจจุบันที่ระดับ 3.17 ล้านบาร์เรล/วัน
การปรับเพิ่มระดับการผลิตน้ำมันขั้นต่ำของ UAE จะเปิดทางไปสู่การเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันขั้นต่ำของสมาชิกในกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส
อย่างไรก็ดี โอเปกพลัสยังไม่ได้ตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการผลิตอย่างเป็นทางการ และยังไม่ได้กำหนดวันจัดประชุมครั้งต่อไป หลังจากที่มีการเลื่อนการประชุมก่อนหน้านี้ ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างซาอุดีอาระเบียและ UAE
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังร่วงลง หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันเบนซินพุ่งขึ้น 1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 3.7 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.3 ล้านบาร์เรล
อย่างไรก็ดี สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 7.9 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว โดยลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 8 ติดต่อกัน และปรับตัวลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 4.9 ล้านบาร์เรล