สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 1 เดือนเมื่อคืนนี้ (15 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าปริมาณน้ำมันในตลาดอาจสูงขึ้นหลังจากซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) บรรลุข้อตกลงเพิ่มกำลังการผลิต นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของสต็อกน้ำมันเบนซินของสหรัฐยังบ่งชี้ถึงการชะลอตัวลงของความต้องการเชื้อเพลิงในสหรัฐ
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 1.48 ดอลลาร์ หรือ 2% ปิดที่ 71.65 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 18 มิ.ย.2564
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 1.29 ดอลลาร์ หรือ 1.7% ปิดที่ 73.47 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 7 ก.ค.2564
สัญญาน้ำมันดิบร่วงลงติดต่อกันเป็นวันที่ 2 เนื่องจากบรรยากาศการซื้อขายยังคงได้รับแรงกดดันจากรายงานที่ว่า ซาอุดีอาระเบียและ UAE สามารถบรรลุข้อตกลงในการผลิตน้ำมันได้แล้ว โดยจะมีการปรับเพิ่มระดับการผลิตน้ำมันขั้นต่ำของ UAE สู่ระดับ 3.65 ล้านบาร์เรล/วัน หลังจากที่ข้อตกลงเดิมหมดอายุในเดือนเม.ย.2565 จากปัจจุบันที่ระดับ 3.17 ล้านบาร์เรล/วัน
ทั้งนี้ การปรับเพิ่มระดับการผลิตน้ำมันขั้นต่ำของ UAE จะเปิดทางไปสู่การเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันขั้นต่ำของสมาชิกในกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส
อย่างไรก็ดี โอเปกพลัสยังไม่ได้ตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการผลิตอย่างเป็นทางการ และยังไม่ได้กำหนดวันจัดประชุมครั้งต่อไป หลังจากที่มีการเลื่อนการประชุมก่อนหน้านี้ อันเป็นผลมาจากความขัดแย้งระหว่างซาอุดีอาระเบีย และ UAE
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันเบนซินพุ่งขึ้น 1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 3.7 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.3 ล้านบาร์เรล
อย่างไรก็ตาม สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 7.9 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นการลดลงติดต่อกัน 8 สัปดาห์ และปรับตัวลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 4.9 ล้านบาร์เรล