สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (28 ก.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบและน้ำมันเบนซินที่ลดลงมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งบ่งชี้ว่าความต้องการใช้น้ำมันในสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 74 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 72.39 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 14 ก.ค. 2564
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 26 เซนต์ หรือ 0.4% ปิดที่ 74.74 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 14 ก.ค. 2564
สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 4.1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 2.5 ล้านบาร์เรล
ทางด้านสถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันของสหรัฐเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 4.7 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว
รายงานของ EIA ยังระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคูชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐ ลดลง 1.3 ล้านบาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 2.3 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 1.3 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ลดลง 3.1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 1.6 ล้านบาร์เรล
นักลงทุนยังคงจับตาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา ขณะที่รายงานล่าสุดระบุว่า ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ (CDC) เตรียมออกกฎให้ผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วกลับมาสวมใส่หน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในอาคารอีกครั้ง โดยกฎดังกล่าวจะมีการบังคับใช้ในบางพื้นที่ซึ่งพบอัตราการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาในระดับสูง
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาสหรัฐเปิดเผยการประมาณการครั้งที่ 1 ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 2/2564 ในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า GDP สหรัฐจะขยายตัว 8.5% ซึ่งเป็นการขยายตัวมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2526 และพุ่งขึ้นจากระดับ 6.4% ในไตรมาส 1