สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 3% เมื่อคืนนี้ (2 ส.ค.) หลังจากสหรัฐและจีนเปิดเผยข้อมูลภาคการผลิตที่อ่อนแรงลงในเดือนก.ค. นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 15 เดือน
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ร่วงลง 2.69 ดอลลาร์ หรือ 3.6% ปิดที่ 71.26 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค. ร่วงลง 2.52 ดอลลาร์ หรือ 3.3% ปิดที่ 72.89 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบร่วงลงหลังจากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 59.5 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 60.9 หลังจากแตะระดับ 60.6 ในเดือนมิ.ย. โดยดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐได้รับผลกระทบจากการปรับตัวลงของคำสั่งซื้อใหม่
ทางด้านมาร์กิตและไฉซินเปิดเผยผลสำรวจซึ่งระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนก.ค.ของจีนร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 15 เดือน เนื่องจากอุปสงค์ในภาคการผลิตปรับตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 1 ปี อันเนื่องมาจากราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น
ทั้งนี้ ดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนเดือนก.ค.ร่วงลงแตะระดับ 50.3 จากระดับ 51.3 ในเดือนมิ.ย. โดยดัชนี PMI เดือนก.ค.อยู่ที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2563 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 51.1
นักลงทุนกังวลว่า การชะลอตัวของภาคการผลิตของสหรัฐและจีนซึ่งต่างก็เป็นประเทศที่ใช้น้ำมันมากที่สุดในโลกนั้น อาจบ่งชี้ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในสองประเทศเป็นไปอย่างเชื่องช้า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากผลสำรวจล่าสุดซึ่งบ่งชี้ว่า กลุ่มโอเปกผลิตน้ำมันดิบในเดือนก.ค.ในปริมาณ 26.72 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2563 โดยตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้น 610,000 บาร์เรลต่อวันจากเดือนมิ.ย.
การปรับเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปกเป็นไปตามข้อตกลงร่วมกับกลุ่มโอเปกพลัสซึ่งรวมถึงรัสเซีย โดยเมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่ประชุมโอเปกพลัสมีมติเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเดือนละ 400,000 บาร์เรล/วัน ตั้งแต่เดือนส.ค.จนถึงเดือนธ.ค.ปีนี้