สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (5 ส.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากความตึงเครียดในตะวันออกกลาง และจากการที่นักลงทุนช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากราคาน้ำมันดิบร่วงลงติดต่อกัน 3 วันทำการ
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 94 เซนต์ หรือ 1.4% ปิดที่ 69.09 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 91 เซนต์ หรือ 1.3% ปิดที่ 71.29 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ดีดตัวขึ้น หลังมีรายงานว่า เครื่องบินรบของอิสราเอลได้เปิดฉากโจมตีฐานยิงจรวดในเลบานอนเมื่อวานนี้ เพื่อตอบโต้ต่อการโจมตีของกองกำลังติดอาวุธในเลบานอนที่ยิงจรวดเข้าใส่อิสราเอล โดยสถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลว่าความตึงเครียดในตะวันออกกลางอาจทวีความรุนแรง และอาจส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมัน
รายงานระบุว่า กองทัพอากาศอิสราเอลปฏิบัติการโจมตีทางอากาศถล่มเลบานอนเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นการโจมตีครั้งแรกในรอบ 7 ปี หลังถูกยิงจรวดข้ามพรมแดน 2 วันติดต่อกัน ขณะที่เลบานอนประณามปฏิบัติการโจมตีดังกล่าวว่าทำให้สถานการณ์บานปลาย และข้อสงเกตว่ามันอาจเป็นการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของอิสราเอล
ทางด้านกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติในเลบานอน (UNIFIL) ซึ่งถูกส่งเข้าประจำการในเลบานอนตั้งแต่ปี 2521 ได้เรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้ความอดทนอดกลั้น อย่างไรก็ดี รัฐบาลสหรัฐได้แถลงจุดยืนสนับสนุนอิสราเอลอย่างเต็มที่ โดยย้ำว่า อิสราเอลมีสิทธิป้องกันตนเอง
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไร หลังจากราคาน้ำมันร่วงลงติดต่อกัน 3 วันทำการก่อนหน้านี้ โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากความกังวลที่ว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน
อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันยังคงถูกจำกัดจากการที่สหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น โดยสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 3.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 3.1 ล้านบาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 5.3 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 1.8 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่นซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 833,000 บาร์เรล ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 543,000 บาร์เรล