สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (18 ส.ค.) โดยสัญญาน้ำมันดิบปิดในแดนลบติดต่อกันเป็นวันที่ 5 เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน ซึ่งความกังวลดังกล่าวได้บดบังปัจจัยบวกจากรายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่ร่วงลงกว่า 3 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 1.13 ดอลลาร์ หรือ 1.7% ปิดที่ 65.46 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 21 พ.ค. 2564
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 80 เซนต์ หรือ 1.2% ปิดที่ 68.23 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 21 พ.ค. 2564
ความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะไวรัสสายพันธุ์เดลตา ยังคงเป็นปัจจัยที่สร้างแรงกดดันต่อตลาดน้ำมัน โดยรายงานล่าสุดระบุว่า คณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน เตรียมขยายเวลาการใช้ข้อบังคับที่กำหนดให้ผู้ใช้บริการขนส่งสาธารณะทางเครื่องบิน รถไฟ และรถบัส รวมถึงผู้ที่อยู่ในท่าอากาศยานและสถานีรถไฟ ต้องสวมหน้ากากอนามัยป้องกันไปจนถึงวันที่ 18 ม.ค. 2564 จากเดิมที่มีกำหนดสิ้นสุดลงในวันที่ 13 ก.ย.นี้ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19
ทั้งนี้ การตัดสินใจขยายเวลาการใช้ข้อบังคับดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบของเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตาที่แพร่กระจายได้ง่าย ทั้งยังเป็นการยอมรับว่า การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะยังมีความเสี่ยง โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน
กระแสความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้สกัดปัจจัยบวกจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 3.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 3.1 ล้านบาร์เรล
ข้อมูลของ EIA ยังระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคูชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐ ลดลง 1 ล้านบาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 700,000 บาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 2.3 ล้านบาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ลดลง 2.7 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 700,000 บาร์เรล