สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (30 ก.ย.) ขานรับรายงานที่ว่า จีนจะสั่งซื้อน้ำมันเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความต้องการภายในประเทศ โดยขณะนี้จีนกำลังเผชิญวิกฤตขาดแคลนพลังงานและส่งผลกระทบต่อภาคส่วนต่าง ๆ โดยเฉพาะภาคการผลิต
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 20 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 75.03 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 12 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 78.52 ดอลลาร์/บาร์เรล
ตลอดเดือนก.ย. สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นทั้งสิ้น 9.5% ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวขึ้น 7.6% ส่วนตลอดทั้งไตรมาส 3/2564 สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้น 2.1% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 6 ไตรมาส ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวขึ้น 4.5%
นายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีของจีนกล่าวว่า รัฐบาลจีนจะสร้างความเชื่อมั่นว่ามีพลังงานเพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ และยังคงสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวในอัตราที่เหมาะสม
นักวิเคราะห์จากบริษัท Price Futures Group กล่าวว่า นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบ WTI หลังจีนส่งสัญญาณเตรียมความพร้อมที่จะซื้อน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความต้องการภายในประเทศ เนื่องจากขณะนี้จีนกำลังเผชิญวิกฤตพลังงานอย่างหนัก หลังจากรัฐบาลออกมาตรการให้ภาคอุตสาหกรรมใช้ไฟฟ้าแบบหมุนเวียนกัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะภาคการผลิตของจีนที่หดตัวลงในเดือนก.ย.
สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานเมื่อวานนี้ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนก.ย. ร่วงลงแตะระดับ 49.6 จากระดับ 50.1 ในเดือนส.ค. โดยนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือนก.พ. 2563 ที่ดัชนี PMI ภาคการผลิตจีนร่วงลงต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคการผลิตเข้าสู่ภาวะหดตัว เนื่องจากผู้ประกอบการในภาคการผลิตของจีนเผชิญกับการพุ่งขึ้นของต้นทุน, ภาวะคอขวดที่ส่งผลกระทบต่อการผลิต และการที่รัฐบาลออกมาตรการให้ภาคอุตสากรรมใช้ไฟฟ้าแบบหมุนเวียนกัน ซึ่งส่งผลให้เกิดวิกฤตพลังงานเป็นวงกว้าง
นักลงทุนจับตาการประชุมกำหนดนโยบายการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปกและชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ในวันที่ 4 ต.ค. โดยคาดว่าการประชุมดังกล่าวซึ่งจะมีการหารือเกี่ยวกับแผนการด้านอุปทานนั้น จะมีผลต่อทิศทางราคาน้ำมัน