สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (8 ต.ค.) ท่ามกลางภาวะตึงตัวของปริมาณพลังงานทั่วโลก ซึ่งหนุนราคาน้ำมันดิบสหรัฐขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 7 ปี ขณะที่บรรดาผู้ใช้พลังงานรายใหญ่เผชิญความยากลำบากในการรับมือกับอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 1.05 ดอลลาร์ หรือ 1.3% ปิดที่ 79.35 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 31 ต.ค. 2557 และพุ่งขึ้น 4.6% ในรอบสัปดาห์นี้
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 44 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 82.39 ดอลลาร์/บาร์เรล และเพิ่มขึ้น 3.9% ในรอบสัปดาห์นี้
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น เนื่องจากนักลงทุนคาดว่า ปริมาณน้ำมันจะตึงตัวมากขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศต่างๆ เริ่มฟื้นตัวจากผลกระทบของโรคโควิด-19
คาร์สเทน ฟริตช์ นักวิเคราะห์ด้านพลังงานของคอมเมิร์ซแบงก์ รีเสิร์ชเปิดเผยในวันศุกร์ว่า "ตลาดน้ำมันจะยังคงตึงตัวไปจนถึงสิ้นปีนี้ เนื่องจากมีอุปสงค์ที่แข็งแกร่งในปัจจุบัน และกลุ่มโอเปกพลัสยังคงดำเนินนโยบายการผลิตที่จำกัด"
นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของราคาก๊าซในยุโรปมีส่วนทำให้ความต้องการใช้น้ำมันพุ่งขึ้นด้วย เนื่องจากกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนจากการใช้ก๊าซมาเป็นการใช้น้ำมันมากขึ้นในการผลิตไฟฟ้า