สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (11 ต.ค.) โดยได้แรงหนุนจากความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกที่สูงขึ้นหลังจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นอกจากนี้ ภาวะอุปทานตึงตัวที่เกิดขึ้นในหลายประเทศรวมทั้งจีนและอินเดีย ยังเป็นอีกปัจจัยที่หนุนราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 1.17 ดอลลาร์ หรือ 1.5% ปิดที่ 80.52 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 1.26 ดอลลาร์ หรือ 1.5% ปิดที่ 83.65 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2563
สัญญาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นทะลุระดับ 82 ดอลลาร์ในระหว่างวัน เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกส่งผลให้ความต้องการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น แต่การผลิตน้ำมันกลับชะลอตัวลงเนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมทั้งการที่รัฐบาลในหลายประเทศโดยเฉพาะจีน พยายามผลักดันให้ลดการใช้พลังงานเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายการลดมลภาวะ
นักวิเคราะห์จากยูบีเอสกล่าวว่า ราคาน้ำมันยังได้รับปัจจัยบวกจากการที่กระทรวงพลังงานสหรัฐยืนยันว่า รัฐบาลสหรัฐยังไม่แผนที่จะระบายน้ำมันจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ (SPR) เพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน
"กระทรวงพลังงานสหรัฐยังคงจับตาภาวะอุปทานในตลาดน้ำมันโลกอย่างใกล้ชิด และจะดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประเมินว่า เราควรจะใช้มาตรการที่จำเป็นหรือไม่และเมื่อใด ทางกระทรวงจะพิจารณาเครื่องมือทุกอย่างที่จำเป็นในการปกป้องพลเมืองชาวอเมริกันและเพื่อรับมือกับภาวะอุปทานตึงตัวในตลาด แต่ในขณะนี้เรายังไม่มีแผนที่จะระบายน้ำมันออกจากคลัง SPR และไม่มีแผนที่จะระงับการส่งออกน้ำมันดิบ" กระทรวงพลังงานสหรัฐระบุในแถลงการณ์
นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยสถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันของสหรัฐจะเปิดเผยรายงานสต็อกน้ำมันในวันอังคาร ทางด้านสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยรายงานสต็อกน้ำมันในวันพุธ