สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (14 ต.ค.) ขานรับข่าวซาอุดีอาระเบียปฏิเสธข้อเรียกร้องจากสหรัฐที่ต้องการให้กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันอีกเพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของราคาพลังงาน
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 87 เซนต์ หรือ 1.1% ปิดที่ 81.31 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดในรอบ 7 ปี
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 82 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 84 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2561
สัญญาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นหลังจากเจ้าชายอับดูลาซิส บิน ซัลมาน รัฐมนตรีพลังงานซาอุดีอาระเบีย ปฏิเสธข้อเรียกร้องจากสหรัฐที่ต้องการให้กลุ่มโอเปกพลัสเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันอีกเพื่อสกัดราคาพลังงานที่พุ่งขึ้นในขณะนี้
"ผมบอกอยู่เสมอว่าเรากำลังเพิ่มการผลิต โดยจะเพิ่มการผลิตน้ำมัน 400,000 บาร์เรล/วันในเดือนพ.ย. และเพิ่มขึ้นอีกในเดือนต่อๆไป" เจ้าชายอับดูลาซิสกล่าว และเสริมว่า โอเปกพลัสได้ใช้ความพยายามอย่างเพียงพอแล้วในการปกป้องตลาดน้ำมันจากความผันผวนของราคาก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน
"ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นเพียง 29% เมื่อเทียบกับราคาก๊าซธรรมชาติที่พุ่งขึ้น 500% ราคาถ่านหินพุ่งขึ้น 300% ส่วนราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (NGLs) พุ่งขึ้น 200%" เจ้าชายอับดูลาซิสกล่าว
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับปัจจัยบวกหลังจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ระบุว่า การพุ่งขึ้นของราคาก๊าซธรรมชาติจะทำให้ผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าเพิ่มความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
ทั้งนี้ IEA คาดการณ์ว่า การขยายตัวของอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกในปี 2565 จะเพิ่มขึ้น 210,000 บาร์เรล/วัน และคาดว่าความต้องการน้ำมันทั่วโลกในปี 2565 จะอยู่ที่ 99.6 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งสูงกว่าระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
อย่างไรก็ดี สัญญาน้ำมันได้รับแรงกดดันในระหว่างวัน หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 6.1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าลดลง 500,000 บาร์เรล