สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (21 ต.ค.) โดยปรับตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 6 วัน เนื่องจากนักลงทุนขายทำกำไรสัญญาน้ำมันดิบหลังจากราคาพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบหลายปี
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 92 เซนต์ หรือ 1.1% สู่ระดับ 82.50 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังสัญญาเดือนพ.ย.ครบกำหนดส่งมอบในวันพุธที่ระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 1.21 ดอลลาร์ หรือ 1.4% ปิดที่ 84.61 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังปิดตลาดวันพุธที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2561
ทั้งนี้ แรงขายทำกำไรฉุดราคาน้ำมันดิบร่วงลง หลังราคาพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบหลายปี
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังถูกกดดันจากราคาถ่านหินและก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลง จากการที่จีนส่งสัญญาณเตรียมเข้าแทรกแซงเพื่อสกัดความร้อนแรงในตลาด ส่งผลให้ผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าลดความต้องการที่จะหันมาใช้น้ำมันดิบและน้ำมันดีเซล
ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นก่อนหน้านี้ โดยได้ปัจจัยหนุนจากการลดลงของสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐ, ความต้องการใช้พลังงานของจีน ท่ามกลางสภาพอากาศหนาวเย็น, การที่ผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าหันมาใช้น้ำมันดิบและน้ำมันดีเซล หลังการพุ่งขึ้นของราคาถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ, อุปสงค์น้ำมันที่พุ่งขึ้นจากการเปิดเศรษฐกิจของหลายประเทศ รวมทั้งจากการที่ซาอุดีอาระเบียได้ปฏิเสธข้อเรียกร้องจากสหรัฐที่ต้องการให้กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันอีกเพื่อสกัดราคาพลังงานที่พุ่งขึ้นในขณะนี้
ทั้งนี้ โอเปกพลัสมีมติเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเพียง 400,000 บาร์เรล/วันในเดือนพ.ย. แม้ว่าหลายประเทศ เช่น สหรัฐและอินเดีย ต่างกดดันให้โอเปกพลัสเพิ่มกำลังการผลิตมากขึ้นเพื่อชะลอการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน
บรรดานักลงทุนจะจับตาการประชุมของโอเปกพลัสในวันที่ 4 พ.ย.เพื่อกำหนดนโยบายการผลิตน้ำมันสำหรับเดือนธ.ค.