สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (4 พ.ย.) หลังจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส มีมติเดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิต 400,000 บาร์เรล/วันในเดือนธ.ค. นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้รับแรงกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่า การผลิตน้ำมันของซาอุดีอาระเบียอาจพุ่งขึ้นเหนือระดับ 10 ล้านบาร์เรล/วันในไม่ช้านี้
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 2.05 ดอลลาร์ หรือ 2.5% ปิดที่ 78.81 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค. 2564
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 1.45 ดอลลาร์ หรือ 1.8% ปิดที่ 80.54 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2564
สัญญาน้ำมันดิบร่วงลง หลังจากโอเปกพลัสมีมติเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน 400,000 บาร์เรล/วันในเดือนธ.ค.ในการประชุมเมื่อวานนี้ รวมทั้งรายงานของสถานีโทรทัศน์อัล อาราบิยาซึ่งระบุว่า ซาอุดีอาระเบียอาจจะผลิตน้ำมันพุ่งขึ้นทะลุระดับ 10 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนธ.ค.
สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดันจากรายงานที่ว่า อิหร่านจะกลับมาเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ร่วมกับชาติตะวันตกในช่วงปลายเดือนนี้ ซึ่งอาจปูทางไปสู่การยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่าน และทำให้อิหร่านสามารถกลับมาส่งออกน้ำมันได้อีกครั้ง
ทั้งนี้ นายอาลี บาเกรี กานี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศและผู้นำการเจรจาด้านนิวเคลียร์ของอิหร่านเปิดเผยว่า การเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2558 หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า Joint Comprehensive Plan of Action (JCPOA) จะเริ่มขึ้นอีกครั้งในวันที่ 29 พ.ย.นี้
นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายในตลาดน้ำมันยังคงได้รับปัจจัยลบจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐ พุ่งขึ้น 3.3 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่า อาจจะเพิ่มขึ้นเพียง 300,000 บาร์เรล