สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์เมื่อคืนนี้ (9 พ.ย.) และเป็นการปิดบวกติดต่อกันวันที่ 3 เนื่องจากนักลงทุนยังคงมีมุมมองว่า การผ่านร่างกฎหมายการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมันในประเทศ
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 2.22 ดอลลาร์ หรือ 2.7% ปิดที่ 84.15 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค.
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 1.35 ดอลลาร์ หรือ 1.6% ปิดที่ 84.78 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค.
นักลงทุนยังคงขานรับข่าวสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐได้อนุมัติร่างกฎหมายการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน วงเงินกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา และร่างกฎหมายดังกล่าวจะส่งต่อให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดนลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป
ทางด้านเจพีมอร์แกน เชสระบุว่า ความต้องการใช้ในตลาดโลกในเดือนพ.ย.กำลังดีดตัวขึ้นใกล้แตะระดับ 100 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งเป็นระดับก่อนที่จะเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงต้นปี 2563
นักลงทุนจับตาสหรัฐซึ่งมีแนวโน้มที่จะใช้มาตรการสกัดการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน โดยมีการคาดการณ์กันว่า ปธน.ไบเดนอาจประกาศระบายน้ำมันจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ (SPR) เพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันเบนซินในประเทศ
ทั้งนี้ ปธน.ไบเดนกล่าวเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า สหรัฐมีเครื่องมือที่จะรับมือกับราคาน้ำมันที่พุ่งสูง หลังจากที่กลุ่มโอเปกพลัสเมินข้อเรียกร้องของสหรัฐที่ต้องการให้โอเปกพลัสเพิ่มการผลิตน้ำมันมากกว่า 400,000 บาร์เรล/วัน
นอกจากนี้ นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐ โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) มีกำหนดเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในวันนี้ เวลา 21.30 น.ตามเวลาไทย ขณะที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของเอสแอนด์พี โกลบอล แพลทส์คาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 5 พ.ย.