สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (10 พ.ย.) โดยราคาสัญญาน้ำมันดิ่งหลุดจากระดับ 82 ดอลลาร์ หลังสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบพุ่งขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว นอกจากนี้ การแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังสร้างแรงกดดันต่อตลาดน้ำมัน
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 2.81 ดอลลาร์ หรือ 3.3% ปิดที่ 81.34 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 2.14 ดอลลาร์ หรือ 2.5% ปิดที่ 82.64 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบร่วงลง หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยเมื่อคืนนี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นไปตามการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ข้อมูลของ EIA สวนทางกับที่สถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) รายงานก่อนหน้านี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 2.5 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว
สัญญาน้ำมันดิบยังถูกกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.94% แตะที่ 94.8460 เมื่อคืนนี้
ทั้งนี้ การแข็งค่าของดอลลาร์ทำให้สัญญาน้ำมันดิบซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาแพงขึ้นและมีความน่าดึงดูดน้อยลงสำหรับนักลงทุนที่ถือเงินสกุลอื่นๆ
นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันยังได้รับปัจจัยลบจากการที่นางเจนนิเฟอร์ แกรนโฮล์ม รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานสหรัฐกล่าวว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน อาจมีการดำเนินมาตรการในสัปดาห์นี้เพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน
"ท่านกำลังพิจารณาเกี่ยวกับทางเลือกต่างๆที่ประธานาธิบดีสหรัฐสามารถดำเนินการได้เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำมันเบนซินมีราคาแพง โดยท่านอาจทำการประกาศในสัปดาห์นี้" นางแกรนโฮล์มกล่าว
ทั้งนี้ มีการคาดการณ์กันว่า ปธน.ไบเดนอาจประกาศระบายน้ำมันจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ (SPR) เพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันเบนซินในประเทศ
ปธน.ไบเดนกล่าวเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า สหรัฐมีเครื่องมือที่จะรับมือกับราคาน้ำมันที่พุ่งสูง หลังจากที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส เมินข้อเรียกร้องของสหรัฐที่ต้องการให้โอเปกพลัสเพิ่มการผลิตน้ำมันมากกว่า 400,000 บาร์เรล/วัน