สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 4 ในวันพฤหัสบดี (6 ม.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากปัญหาความไม่สงบในคาซัคสถานซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มโอเปกพลัส รวมทั้งรายงานการผลิตน้ำมันที่ลดลงในประเทศลิเบีย
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 1.61 ดอลลาร์ หรือ 2.1% ปิดที่ 79.46 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 16 พ.ย. 2564
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 1.19 ดอลลาร์ หรือ 1.5% ปิดที่ 81.99 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 25 พ.ย. 2564
สัญญาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นทะลุระดับ 80 ดอลลาร์ในระหว่างวัน หลังมีรายงานว่ารัสเซียได้ส่งทหารพลร่มเข้าไปยังคาซัคสถานเพื่อรักษาความสงบ หลังจากเกิดความรุนแรงทั่วประเทศจากการที่ประชาชนพากันลุกฮือประท้วงน้ำมันแพง จนทำให้รัฐบาลต้องประกาศลาออก
บาร์บารา แลมเบรท นักวิเคราะห์ด้านพลังงานจากบริษัท Commerzbank Research กล่าวว่า ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นทันทีที่มีรายงานว่าสถานการณ์ตึงเครียดทางการเมืองในคาซัคสถานเริ่มทวีความรุนแรง เนื่องจากคาซัคสถานเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยแหล่งน้ำมัน และเป็นสมาชิกของกลุ่มโอเปกพลัส โดยปัจจุบันคาซัคสถานผลิตน้ำมันได้ในปริมาณ 1.6 ล้านบาร์เรล/วัน
สัญญาน้ำมันดิบยังพุ่งขึ้นหลังมีรายงานว่า การผลิตน้ำมันในลิเบียลดลงมากกว่า 500,000 บาร์เรล/วัน เนื่องจากมีการปิดบ่อน้ำมันหลายแห่ง รวมทั้งมีการปิดซ่อมบำรุงท่อส่งน้ำมัน ขณะที่เจ้าหน้าที่ลิเบียคาดการณ์ว่า การผลิตน้ำมันอาจจะลดลงอีก 200,000 บาร์เรล/วันในสัปดาห์นี้
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันยังได้ปัจจัยหนุนจากการที่กลุ่มโอเปกพลัสมีมติยึดมั่นตามข้อตกลงเดิมในการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเพียง 400,000 บาร์เรล/วันในเดือนก.พ. แม้ว่าสหรัฐและชาติพันธมิตรต่างกดดันให้โอเปกพลัสเพิ่มกำลังการผลิตมากกว่านี้ เพื่อชะลอการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน
สำหรับการประชุมครั้งต่อไปของกลุ่มโอเปกพลัสจะมีขึ้นในวันที่ 2 ก.พ. โดยที่ประชุมจะพิจารณานโยบายการผลิตสำหรับเดือนมี.ค.