สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 ในวันพฤหัสบดี (24 ก.พ.) หลังมีรายงานว่ารัสเซียใช้ปฏิบัติการทางทหารบุกโจมตียูเครน โดยข่าวดังกล่าวส่งผลให้ราคาน้ำมัน WTI ทะยานขึ้นเหนือระดับ 100 ดอลลาร์ในระหว่างวัน
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 71 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 92.81 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2557
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 2.24 ดอลลาร์ หรือ 2.3% ปิดที่ 99.08 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2557
สัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นหลังมีรายงานว่า รัสเซียได้บุกโจมตียูเครนทั้งทางบก ทะเล และอากาศ ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์รุกรานประเทศครั้งใหญ่ที่สุดในยุโรปนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 โดยรายงานล่าสุดระบุว่า ขณะนี้ทหารรัสเซียสามารถเข้ายึดโรงงานนิวเคลียร์ในเมืองเชอร์โนบิลของยูเครนได้แล้ว
ทางด้านองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) เตรียมเสริมกำลังทหารทางฝั่งตะวันออก ซึ่งรวมถึงการเตรียมเครื่องบินรบจำนวนกว่า 100 ลำ หลังจากที่รัสเซียใช้ปฏิบัติการทางทหารโจมตียูเครน
อย่างไรก็ดี การพุ่งขึ้นของสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบถูกกดดันในระหว่างวัน โดยสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 4.5 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 300,000 บาร์เรล
ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับที่สถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) รายงานก่อนหน้านี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว