สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 8% ในวันพฤหัสบดี (17 มี.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า อุปทานน้ำมันในตลาดโลกจะเผชิญภาวะตึงตัว หลังจากชาติตะวันตกประกาศคว่ำบาตรรัสเซีย
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย. พุ่งขึ้น 7.94 ดอลลาร์ หรือ 8.35% ปิดที่ 102.98 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้น 8.62 ดอลลาร์ หรือ 8.79% ปิดที่ 106.64 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบ WTI กลับมายืนเหนือระดับ 100 ดอลลาร์ได้อีกครั้ง หลังจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ออกรายงานเตือนภาวะตึงตัวในตลาดน้ำมัน โดยคาดว่ามาตรการคว่ำบาตรรัสเซียจะส่งผลให้รัสเซียไม่สามารถส่งออกน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันอื่นๆ รวม 3 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนเม.ย. ขณะที่มีการคาดการณ์ว่าอุปสงค์น้ำมันจะลดลงเพียง 1 ล้านบาร์เรล/วัน
ทางด้านมอร์แกน สแตนลีย์ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเบรนท์สู่ระดับ 120 ดอลลาร์/บาร์เรลในไตรมาส 3 และคาดว่าการผลิตน้ำมันของรัสเซียจะลดลง 1 ล้านบาร์เรล/วันตั้งแต่เดือนเม.ย.
สัญญาน้ำมันดิบยังได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจต่อความคืบหน้าในการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครน หลังจากที่นายดมิทรี เพสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน กล่าวปฏิเสธรายงานข่าวจากสื่อที่ระบุว่า การเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครนได้ประสบความคืบหน้าอย่างมาก และทั้งสองฝ่ายใกล้บรรลุข้อตกลง
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้ปัจจัยบวกจากรายงานที่ว่า จีนเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และคาดว่าจีนจะผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ หลังจากที่ผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่มีจำนวนลดลง