สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลง 7% ในวันพฤหัสบดี (31 มี.ค.) หลังสหรัฐยืนยันว่าจะระบายน้ำมันในคลังสำรองจำนวน 1 ล้านบาร์เรล/วัน เพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค. ลดลง 7.54 ดอลลาร์ หรือ 7% ปิดที่ 100.28 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ค. ลดลง 5.54 ดอลลาร์ หรือ 4.9% ปิดที่ 107.91 ดอลลาร์/บาร์เรล
ทำเนียบขาวออกแถลงการณ์เมื่อคืนนี้ตามเวลาไทยว่า สหรัฐจะระบายน้ำมันในคลังสำรองจำนวน 1 ล้านบาร์เรล/วันเพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน และบรรเทาภาวะเงินเฟ้อในประเทศ
"ประธานาธิบดีโจ ไบเดนจะระบายน้ำมันจำนวน 180 ล้านบาร์เรลออกจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ (SPR) โดยจะมีการระบายน้ำมัน 1 ล้านบาร์เรล/วันเป็นเวลา 6 เดือน การระบายน้ำมันดังกล่าวถือว่าสูงเป็นประวัติการณ์ โดยยังไม่มีชาติใดเคยระบายน้ำมันในคลังสำรองจำนวน 1 ล้านบาร์เรล/วันเป็นระยะเวลานานเช่นนี้มาก่อน และจะทำให้สหรัฐมีปริมาณน้ำมันมากเป็นประวัติการณ์ไปจนถึงสิ้นปีนี้ ขณะที่การผลิตน้ำมันภายในประเทศปรับตัวขึ้น" ทำเนียบขาวระบุในแถลงการณ์
ถ้อยแถลงดังกล่าวถือเป็นการยืนยันรายงานข่าวของสื่อหลายสำนักในช่วงก่อนหน้านี้ โดยการระบายน้ำมันจากคลังสำรองดังกล่าวนับเป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 6 เดือน และเป็นครั้งที่ 2 นับตั้งแต่ที่รัสเซียบุกโจมตียูเครนเมื่อวันที่ 24 ก.พ.
ส่วนผลการประชุมล่าสุดของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัสนั้น ที่ประชุมมติยึดมั่นตามข้อตกลงเดิม โดยโอเปกพลัสจะเพิ่มกำลังการผลิต 432,000 บาร์เรล/วันในเดือนพ.ค.
โอเปกพลัสมีมติดังกล่าว แม้ว่าสหรัฐและหลายชาติที่นำเข้าน้ำมันต่างเรียกร้องให้โอเปกพลัสเพิ่มการผลิตให้มากขึ้นกว่าในระดับปัจจุบัน ขณะที่ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นเหนือระดับ 139 ดอลลาร์/บาร์เรลในเดือนนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2551 หลังจากที่รัสเซียส่งกำลังทหารบุกโจมตียูเครนเมื่อวันที่ 24 ก.พ.