สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลดลงในวันศุกร์ (1 เม.ย.) และปรับตัวลงรายสัปดาห์รุนแรงที่สุดในรอบ 2 ปี หลังรัฐบาลสหรัฐประกาศระบายน้ำมันดิบจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ที่สุด ซึ่งทำให้ราคาน้ำมันดิบสหรัฐลดลงต่ำกว่าระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค. ลดลง 1.01 ดอลลาร์ หรือ 1% ปิดที่ 99.27 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 16 มี.ค.
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมิ.ย. ลดลง 32 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 104.39 ดอลลาร์/บาร์เรล
ในรอบสัปดาห์นี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลง 12.8% ขณะที่น้ำมันดิบเบรนท์ร่วงลง 11.1% ซึ่งนับเป็นการร่วงลงรายสัปดาห์ที่คิดเป็นเปอร์เซ็นต์มากที่สุดนับตั้งแต่ปลายเดือนเม.ย. 2563
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลง หลังสหรัฐประกาศระบายน้ำมันดิบสำรองครั้งใหญ่ที่สุด และมีรายงานข่าวว่า ประเทศสมาชิกอื่นๆ ขององค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency - IEA) จะร่วมกันระบายน้ำมันสำรองฉุกเฉินเช่นกัน
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้อนุมัติให้มีการระบายน้ำมันจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐในปริมาณ 1 ล้านบาร์เรลต่อวันเป็นเวลา 6 เดือนข้างหน้า
นักวิเคราะห์ระบุว่า การระบายน้ำมันสำรองดังกล่าวอาจสกัดกั้นการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันในระยะใกล้ แต่คาดว่าจะช่วยแก้ปัญหาภาวะน้ำมันตึงตัวในตลาดโลกได้ชั่วคราว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่สงครามในยูเครนยังคงดำเนินต่อไป
สมาชิกอื่น ๆ ของ IEA รวมถึงยุโรป, แคนาดา, ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้เปิดเผยในวันศุกร์ว่า พวกเขาได้ตกลงกันที่จะระบายน้ำมันจากคลังสำรองฉุกเฉินเช่นเดียวกับสหรัฐ โดย IEA วางแผนที่จะเปิดเผยรายละเอียดดังกล่าวในต้นสัปดาห์หน้า