สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นทะลุระดับ 108 ดอลลาร์ในวันจันทร์ (18 เม.ย.) หลังมีรายงานว่าบริษัทน้ำมันแห่งชาติของลิเบียประกาศระงับการผลิตเนื่องจากการประท้วงของคนงาน โดยข่าวดังกล่าวส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำมันตึงตัวในตลาดโลก
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค. พุ่งขึ้น 1.26 ดอลลาร์ หรือ 1.2% ปิดที่ 108.21 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมิ.ย. พุ่งขึ้น 1.46 ดอลลาร์ หรือ 1.3% ปิดที่ 113.16 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้น หลังจากบริษัทเนชั่นแนล ออยล์ คอร์ปอเรชั่น (NOC) ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติของรัฐบาลลิเบียได้ระงับการกลั่นน้ำมันเนื่องจากการประท้วงของคนงาน นอกจากนี้ NOC ได้ประกาศภาวะสุดวิสัย (Force Majeure) ด้านการส่งมอบน้ำมันดิบจากแหล่งอัล-ชารารา (Al-Sharara) และท่าส่งออกน้ำมัน Zueitina
ทั้งนี้ ภาวะสุดวิสัยเป็นส่วนหนึ่งที่ระบุในสัญญาซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อช่วยให้คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นอิสระจากข้อบังคับทางกฎหมายเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ข้อพิพาทด้านแรงงาน การก่อการร้าย และภัยพิบัติทางธรรมชาติ
ข่าวการระงับผลิตน้ำมันในลิเบียถือเป็นการซ้ำเติมอุปทานน้ำมันในตลาดโลกที่ประสบภาวะตึงตัวอยู่แล้วจากจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน โดยสงครามที่ยังไม่มีแนวโน้มยุติลงนี้ได้ส่งผลให้การผลิตน้ำมันของรัสเซียทรุดตัวลง 7.5% ในช่วงกลางเดือนเม.ย.เมื่อเทียบกับเดือนมี.ค.
ทางด้านสำนักงานพลังงานสากล (IEA) เตือนว่ามาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียจะส่งผลให้รัสเซียไม่สามารถส่งออกน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันอื่นๆ รวม 3 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนพ.ค.
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันมีแนวโน้มดีดตัวขึ้นต่อไป โดยได้แรงหนุนจากการที่จีนเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในเซี่ยงไฮ้ และจากคำเตือนของนายโมฮัมหมัด บาร์คินโด เลขาธิการกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ที่ระบุว่า มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียที่มีการบังคับใช้ในปัจจุบัน และที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จะทำให้เกิดภาวะขาดแคลนน้ำมันอย่างรุนแรง และไม่มีทางที่จะทดแทนปริมาณน้ำมันที่ขาดหายไป
ทั้งนี้ สหภาพยุโรป (EU) มีมติคว่ำบาตรการนำเข้าถ่านหินจากรัสเซีย และมีแนวโน้มว่าจะคว่ำบาตรน้ำมันจากรัสเซียในไม่ช้า ตามการดำเนินการของสหรัฐ แคนาดา และออสเตรเลีย เพื่อตอบโต้ต่อการที่รัสเซียโจมตียูเครน