สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันพฤหัสบดี (26 พ.ค.) โดยตลาดได้แรงหนุนจากการความต้องการใช้น้ำมันในสหรัฐที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงวันหยุด Memorial Day รวมทั้งการคาดการณ์ที่ว่า สมาชิกสหภาพยุโรป (EU) จะสามารถบรรลุข้อตกลงคว่ำบาตรการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 3.76 ดอลลาร์ หรือ 3.4% ปิดที่ 114.09 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 3.37 ดอลลาร์ หรือ 3.0% ปิดที่ 117.40 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมัน WTI ปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่สอง เนื่องจากนักลงทุนมองว่าสหรัฐจะเผชิญภาวะอุปทานน้ำมันตึงตัว เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงวันหยุด Memorial Day ซึ่งเป็นฤดูกาลที่ชาวอเมริกันจะขับรถออกไปท่องเที่ยว โดยฤดูกาลดังกล่าวจะเริ่มขึ้นในช่วงสิ้นเดือนพ.ค. ไปจนถึงวันหยุดเนื่องในวันแรงงานสหรัฐในเดือนก.ย.
ตลาดได้รับปัจจัยบวกจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 737,000 บาร์เรล
ขณะเดียวกันตลาดน้ำมันได้แรงหนุนจากการที่นายชาร์ลส์ มิเชล ประธานคณะมนตรียุโรป แสดงความเชื่อมั่นว่า สมาชิก EU จะสามารถบรรลุข้อตกลงการใช้มาตรการคว่ำบาตรน้ำมันจากรัสเซีย โดย EU จะจัดการประชุมซัมมิตในวันที่ 30-31 พ.ค. เพื่อพิจารณาพิจารณาการใช้มาตรการดังกล่าวต่อรัสเซีย โดยมุ่งหวังตอบโต้รัสเซียที่ใช้ปฏิบัติการทางทหารบุกโจมตียูเครน
นอกจากนี้ การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดน้ำมัน โดยดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.22% แตะที่ 101.8290 เมื่อคืนนี้
ทั้งนี้ การอ่อนค่าของดอลลาร์จะช่วยให้สัญญาน้ำมันซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาถูกลงและน่าดึงดูดสำหรับนักลงทุนที่ถือสกุลเงินอื่น
นักลงทุนจับตาการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ในวันที่ 2 มิ.ย.นี้ โดยมีการคาดการณ์ว่า โอเปกพลัสจะยังคงยึดมั่นตามข้อตกลงเดิม ด้วยการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเพียง 432,000 บาร์เรล/วันสำหรับเดือนก.ค. ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนมิ.ย. แม้ว่าสหรัฐและหลายชาติที่นำเข้าน้ำมันต่างเรียกร้องให้โอเปกพลัสเพิ่มการผลิตให้มากกว่าในระดับปัจจุบันเพื่อสกัดราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นนับตั้งแต่ที่รัสเซียส่งกำลังทหารบุกโจมตียูเครนในวันที่ 24 ก.พ.