สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพุธ (1 มิ.ย.) ขานรับข่าวสหภาพยุโรป (EU) ลงมติระงับการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่นครเซี่ยงไฮ้ของจีนยุติมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนความต้องการใช้น้ำมัน
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 59 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 115.26 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 69 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 116.29 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบได้ปัจจัยบวกจากการที่ชาติสมาชิก EU มีมติระงับการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียจำนวน 90% ภายในสิ้นปีนี้ โดยจะคว่ำบาตรการนำเข้าน้ำมันดิบภายในเวลา 6 เดือน และผลิตภัณฑ์น้ำมันกลั่นภายในเวลา 8 เดือน แต่ยกเว้นการส่งน้ำมันทางท่อส่งน้ำมันรัสเซียไปยังฮังการี สาธารณรัฐเชก และสโลวาเกีย
หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า สมาชิกบางรายของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส กำลังพิจารณาความเป็นไปได้ในการตัดรัสเซียออกจากการทำข้อตกลงผลิตน้ำมันของโอเปกพลัส ขณะที่มาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกได้ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการผลิตน้ำมันของรัสเซีย
ทั้งนี้ การนำรัสเซียออกจากระบบโควตาการผลิตน้ำมันรายเดือนของโอเปกพลัสจะเปิดทางให้ซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมทั้งสมาชิกรายอื่น ๆ เพิ่มการผลิตน้ำมันได้มากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการผลิตของโอเปกพลัส และเพื่อชดเชยกำลังการผลิตที่ขาดหายไปจากรัสเซีย
นักวิเคราะห์จาก VI Investment Corp คาดการณ์ว่า หากโอเปกพลัสมีการยืนยันถึงเรื่องดังกล่าว ก็จะส่งผลให้ราคาน้ำมันร่วงลงแตะระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ในวันนี้
นอกจากนี้ นักลงทุนจับตาการประชุมของกลุ่มโอเปกพลัสในวันนี้ เพื่อกำหนดนโยบายการผลิตสำหรับเดือนก.ค. หลังจากมีมติเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน 432,000 บาร์เรล/วันสำหรับเดือนมิ.ย. แม้ว่าสหรัฐและหลายประเทศที่นำเข้าน้ำมันต่างเรียกร้องให้โอเปกพลัสเพิ่มการผลิตให้มากขึ้นกว่าในระดับปัจจุบัน เพื่อสกัดราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นนับตั้งแต่รัสเซียส่งกำลังทหารบุกโจมตียูเครนในวันที่ 24 ก.พ.