สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์ในวันพุธ (22 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยและฉุดดีมานด์น้ำมันชะลอตัวลง
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. ร่วงลง 3.33 ดอลลาร์ หรือ 3% ปิดที่ 106.19 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 12 พ.ค. 2565
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 2.91 ดอลลาร์ หรือ 2.5% ปิดที่ 111.74 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 18 พ.ค. 2565
นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารเฟดกล่าวยืนยันต่อสภาคองเกรสเมื่อวานนี้ว่า เฟดมีความมุ่งมั่นที่จะสกัดเงินเฟ้อให้ชะลอตัวลง และเฟดกำลังดำเนินการอย่างรวดเร็วไปสู่เป้าหมายดังกล่าว โดยเฟดมีทั้งเครื่องมือที่จำเป็นและมีความตั้งใจที่จะฟื้นฟูเสถียรภาพด้านราคาสำหรับครัวเรือนและภาคธุรกิจของชาวอเมริกัน
นายพาวเวลกล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐอยู่ในภาวะที่น่าพึงพอใจ โดยมีตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง ขณะที่อุปสงค์อยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ดี นายพาวเวลยอมรับว่าเงินเฟ้ออยู่ในภาวะที่ร้อนแรงเกินไป และจำเป็นที่จะต้องชะลอตัวลง
เมื่อคณะกรรมาธิการสภาคองเกรสตั้งคำถามว่า การที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากเกินไปและรวดเร็วเกินไปนั้น จะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยหรือไม่ ซึ่งนายพาวเวลตอบว่า "มีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจจะถดถอย แม้ว่านั่นจะไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เฟดต้องการก็ตาม"
นักลงทุนจับตารายงานข่าวที่ว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะเสนอให้สภาคองเกรสอนุมัติการระงับการจัดเก็บภาษีน้ำมันเบนซินเป็นเวลา 3 เดือน ซึ่งปัจจุบันภาษีดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 18.4 เซนต์/แกลลอน โดยมีเป้าหมายที่จะลดราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นในขณะนี้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของเอสแอนด์พี โกลบอล คอมโมดิตี อินไซท์คาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐจะลดลง 3.7 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 17 มิ.ย.