สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันอังคาร (19 ก.ค.) โดยตลาดได้ปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และการคาดการณ์ที่ว่าอุปทานน้ำมันในตลาดโลกจะเผชิญภาวะตึงตัว
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 1.62 ดอลลาร์ หรือ 1.6 % ปิดที่ 104.22 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 8 ก.ค.
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 1.08 ดอลลาร์ หรือ 1% ปิดที่ 107.35 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค.
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 เนื่องจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังคงเป็นปัจจัยหนุนตลาด โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.64% แตะที่ 106.6820 เมื่อคืนนี้
ทั้งนี้ การอ่อนค่าของดอลลาร์จะช่วยให้สัญญาน้ำมันซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาถูกลงและน่าดึงดูดสำหรับนักลงทุนที่ถือสกุลเงินอื่น
นักลงทุนคาดการณ์ว่าอุปทานน้ำมันตลาดโลกจะเผชิญภาวะตึงตัว หลังมีรายงานว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดนแห่งสหรัฐเตรียมประกาศใช้มาตรการเพื่อรับมือกับภาวะโลกร้อน ซึ่งมาตรการดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมันในสหรัฐ นอกจากนี้ ปธน.ไบเดนยังไม่สามารถโน้มน้าวให้สมาชิกกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) เพิ่มกำลังการผลิตเพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน หลังเสร็จสิ้นการเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
นอกจากนี้ บริษัทก๊าซพรอม พีเจเอสซี ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานรายใหญ่ของรัสเซีย ประกาศภาวะสุดวิสัย (Force Majeure) ในการจัดส่งน้ำมันให้กับผู้ซื้อก๊าซธรรมชาติหลายรายในยุโรป ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวอาจะเป็นการส่งสัญญาณว่า รัสเซียมีเจตนาที่จะควบคุมการจัดส่งก๊าซให้กับยุโรป และจะยิ่งทำให้อุปทานพลังงานเผชิญกับภาวะตึงตัวมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ภาวะสุดวิสัยเป็นส่วนหนึ่งที่ระบุในสัญญาซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อช่วยให้คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นอิสระจากข้อบังคับทางกฎหมาย เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ อาทิ ข้อพิพาทด้านแรงงาน การก่อการร้าย และภัยพิบัติทางธรรมชาติ
ตลาดจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) ในวันนี้ เวลา 21.30 น.ตามเวลาไทย ขณะที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของเอสแอนด์พี โกลบอล คอมโมดิตี้ อินไซตส์คาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันดิบจะลดลง 200,000 บาร์เรล และคาดว่าสต็อกน้ำมันกลั่นจะเพิ่มขึ้นราว 800,000 บาร์เรล