สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงในวันจันทร์ (1 ส.ค.) หลังจากหลายประเทศซึ่งรวมถึงจีนและสหรัฐเปิดเผยข้อมูลภาคการผลิตที่อ่อนแอ ซึ่งทำให้นักลงทุนวิตกว่าการชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ในวันพุธนี้
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ร่วงลง 4.73 ดอลลาร์ หรือ 4.8% ปิดที่ 93.89 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 3.94 ดอลลาร์ หรือ 3.8% ปิดที่ 100.03 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักลงทุนวิตกกังวลว่าการชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลก โดยเฉพาะในภาคการผลิต จะส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันอ่อนแรงลงด้วย โดยสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ 52.8 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2563
ทางด้าสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตร่วงลงสู่ระดับ 49 ในเดือนก.ค. จากระดับ 50.2 ในเดือนมิ.ย. ขณะที่เอสแอนด์พี โกลบอล เปิดเผยว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายของยูโรโซนลดลงสู่ระดับ 49.8 ในเดือนก.ค. จากระดับ 52.1 ในเดือนมิ.ย.
ทั้งนี้ ดัชนี PMI ของจีนและยูโรโซนอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคการผลิตอยู่ในภาวะหดตัว
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังถูกกดดันจากการที่ลิเบียเพิ่มกำลังการผลิตสู่ระดับ 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน จากเดิม 800,000 บาร์เรล/วัน และเบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐเปิดเผยว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐที่มีการใช้งาน มีจำนวนเพิ่มขึ้น 11 แท่นในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 23 ติดต่อกัน
นักลงทุนจับตาการประชุมของกลุ่มโอเปกพลัสในวันพุธนี้ โดยที่ประชุมจะพิจารณานโยบายการผลิตสำหรับเดือนก.ย. หลังจากมีมติเพิ่มกำลังการผลิต 648,000 บาร์เรล/วันในเดือนส.ค.