สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพุธ (21 ก.ย.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.75% ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 1 ดอลลาร์ หรือ 1.2% ปิดที่ 82.94 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 7 ก.ย. 2565
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 79 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 89.83 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 8 ก.ย. 2565
ในช่วงแรกนั้น สัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นจากรายงานที่ว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียประกาศระดมกำลังพลจำนวน 300,000 นายเพื่อยกระดับการทำสงครามกับยูเครน
แต่สัญญาน้ำมันอ่อนแรงลงในเวลาต่อมา หลังจากเฟดประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.75% ในการประชุมเมื่อวานนี้ และยืนยันว่าจะเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อไปในปี 2566 นอกจากนี้ เฟดคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวเพียง 0.2% ในสิ้นปีนี้ และขยายตัว 1.2% ในปี 2566 โดยถ้อยแถลงของเฟดเป็นปัจจัยฉุดตลาดสินทรัพย์เสี่ยงซึ่งรวมถึงตลาดหุ้นและตลาดน้ำมัน
ตลาดน้ำมันยังได้รับแรงกดดันจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน และสต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคูชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 400,000 บาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 1.6 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรล ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 600,000 บาร์เรล