สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (22 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากความต้องการใช้น้ำมันในจีนที่เริ่มฟื้นตัว รวมทั้งการคาดการณ์ที่ว่าอุปทานน้ำมันจะเผชิญภาวะตึงตัว อันเนื่องมาจากการที่รัสเซียประกาศยกระดับการทำสงครามกับยูเครน
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 55 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 83.49 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 63 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 90.46 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบปิดในแดนบวกหลังจากมีรายงานว่า ความต้องการใช้น้ำมันในจีนส่งสัญญาณฟื้นตัว หลังจากที่ก่อนหน้านี้ความต้องการใช้น้ำมันปรับตัวลงเนื่องจากผลกระทบของมาตรการล็อกดาวน์ควบคุมโควิด-19
นอกจากนี้ นักลงทุนคาดว่าอุปทานน้ำมันจะเผชิญภาวะตึงตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูหนาวที่กำลังใกล้เข้ามา หลังจากประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ประกาศระดมกำลังพลจำนวน 300,000 นายเพื่อยกระดับการทำสงครามกับยูเครน ซึ่งถือเป็นการเรียกระดมพลทหารรัสเซียเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2
สำหรับความคืบหน้าล่าสุดในรัสเซียนั้น OVD-Info ซึ่งเป็นกลุ่มสิทธิมนุษยชนในรัสเซียเปิดเผยว่า ชาวรัสเซียที่ออกมาชุมนุมต่อต้านการประกาศระดมพลของปธน.ปูตินได้ถูกตำรวจจับกุม พร้อมกับถูกหมายเรียกให้ไปแสดงตัวต่อทางกองทัพเพื่อเข้ารับการเกณฑ์ทหาร ซึ่งผู้ที่ปฏิเสธหมายเรียกดังกล่าวจะต้องโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี
อย่างไรก็ดี ช่วงบวกของสัญญาน้ำมันถูกจำกัดจากการแข็งค่าของดอลลาร์ โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ปรับตัวขึ้น 0.64% แตะที่ 111.3520 เมื่อคืนนี้ โดยการแข็งค่าของดอลลาร์ส่งผลให้สัญญาน้ำมันดิบซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาแพงขึ้นและไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ
นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลว่าการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะทำให้เศรษฐกิจเผชิญภาวะถดถอย และส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน