สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงอย่างรุนแรงในวันศุกร์ (23 ก.ย.) โดยถูกกดดันจากความวิตกที่เพิ่มขึ้นว่าการคุมเข้มนโยบายการเงินเชิงรุกของธนาคารกลางอาจทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย และจะกระทบต่อความต้องการพลังงาน
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. ร่วงลง 4.75 ดอลลาร์ หรือ 5.7% ปิดที่ 78.74 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. ร่วงลง 4.31 ดอลลาร์ หรือ 4.8% ปิดที่ 86.15 ดอลลาร์/บาร์เรล
ทั้งสัญญาน้ำมันดิบ WTI และน้ำมันดิบเบรนท์ต่างก็ปิดตลาดที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. และในรอบสัปดาห์นี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลง 7.1% ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ร่วงลง 5.7%
บรรดานักลงทุนเทขายสัญญาน้ำมันดิบออกมาอย่างหนัก เนื่องจากวิตกว่า การเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะทำให้เศรษฐกิจเผชิญกับภาวะถดถอย และจะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน
ผลสำรวจของสำนักข่าว CNBC พบว่า บรรดานักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนคาดการณ์ว่า มีความเป็นไปได้ 52% ที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
สำนักงานพลังงานสากล (IEA) เปิดเผยว่า การขยายตัวของอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกจะหยุดชะงักลงในไตรมาส 4 โดยได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีน และกลุ่มประเทศในองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD)
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ ซึ่งจะลดความน่าดึงดูดของสัญญา โดยทำให้สัญญาน้ำมันมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 1.65% แตะที่ระดับ 113.1890