สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 4 ในวันพฤหัสบดี (6 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงขานรับกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส มีมติปรับลดกำลังการผลิตครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 2 ปี
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 69 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 88.45 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 14 ก.ย. 2565
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 1.05 ดอลลาร์ หรือ 1.1% ปิดที่ 94.42 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 5 ก.ย. 2565
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ที่ประชุมโอเปกพลัสมีมติปรับลดกำลังการผลิต 2 ล้านบาร์เรล/วันสำหรับเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นการปรับลดกำลังการผลิตครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2563 และเป็นการปรับลดกำลังการผลิตติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2
นายดมิทรี เพสคอฟ โฆษกทำเนียบประธานาธิบดีรัสเซียกล่าวว่า การที่กลุ่มอเปกพลัสตัดสินใจปรับลดกำลังการผลิต 2 ล้านบาร์เรล/วันนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเสถียรภาพในตลาด และเป็นการยืนยันความน่าเชื่อถือของโอเปกพลัสในฐานะองค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อการสร้างเสถียรภาพในตลาด
โกลด์แมน แซคส์ประกาศปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ราคาน้ำมันในปีนี้และปีหน้า หลังจากโอเปกพลัสมีมติปรับลดกำลังการผลิต 2 ล้านบาร์เรล/วัน โดยคาดว่าราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบเบรนท์จะแตะระดับ 104 ดอลลาร์/บาร์เรลในปีนี้ จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 99 ดอลลาร์/บาร์เรล และคาดว่าราคาจะแตะ 110 ดอลลาร์/บาร์เรลในปีหน้า จากเดิมที่ระดับ 108 ดอลลาร์/บาร์เรล
นอกจากนี้ โกลด์แมน แซคส์คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะพุ่งขึ้นแตะ 110 ดอลลาร์/บาร์เรลในไตรมาส 4/2565 จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรล และคาดว่าจะแตะ 115 ดอลลาร์/บาร์เรลในไตรมาส 1/2566 จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 105 ดอลลาร์/บาร์เรล
ตลาดยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวลงของสต็อกน้ำมันสหรัฐ โดยสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบลดลง 1.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. ขณะที่สต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 4.7 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ลดลง 3.4 ล้านบาร์เรล