สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 3% ในวันอังคาร (18 ต.ค.) หลังมีรายงานว่าสหรัฐเตรียมระบายน้ำมันจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ (SPR) เพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐจะเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่สอง และความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจจีน
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 2.64 ดอลลาร์ หรือ 3.1% ปิดที่ 82.82 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 1.59 ดอลลาร์ หรือ 1.7% ปิดที่ 90.03 ดอลลาร์/บาร์เรล
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ เตรียมประกาศระบายน้ำมันจากคลังสำรอง SPR ในสัปดาห์นี้เพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน ก่อนถึงกำหนดการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐในวันที่ 8 พ.ย.
การตัดสินใจของปธน.ไบเดนดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส มีมติปรับลดกำลังการผลิตครั้งใหญ่ในช่วงต้นเดือนนี้ ซึ่งสวนทางความต้องการของสหรัฐ โดยที่ผ่านมา สหรัฐพยายามกดดันซาอุดีอาระเบียและโอเปกพลัสเพื่อให้เพิ่มกำลังการผลิต เนื่องจากปธน.ไบเดนกังวลว่าราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นจะกระทบต่อคะแนนนิยมของรัฐบาลก่อนการเลือกตั้งกลางเทอมในเดือนหน้า
ทั้งนี้ คาดว่าปธน.ไบเดนจะประกาศระบายน้ำมันจาก SPR จำนวน 14 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์นี้ หลังจากที่เขาได้ประกาศในเดือนมี.ค.ว่าจะระบายน้ำมันจำนวน 180 ล้านบาร์เรลในเดือนพ.ค.-ต.ค.
นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันยังได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจจีน รวมทั้งการที่รัฐบาลจีนเลื่อนการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจออกไปโดยไม่มีกำหนด จากเดิมที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ โดยข้อมูลดังกล่าวรวมถึงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 3, การผลิตภาคอุตสาหกรรม และยอดค้าปลีก
เจเรมี สตีเฟนส์ หัวหน้านักวิเคราะห์จากธนาคารสแตนดาร์ด แบงก์กล่าวว่า "การที่จีนเลื่อนเปิดเผยข้อมูล GDP ประจำไตรมาส 3 อย่างเหนือความคาดหมายนั้น ทำให้จีนถูกมองว่ากระทำการอย่างไม่เหมาะสม เนื่องจากตัวเลข GDP ของจีนเป็นข้อมูลที่นักลงทุนทั่วโลกจับตาอย่างใกล้ชิด"
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าสต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่สอง