สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันจันทร์ (31 ต.ค.) หลังจากมีรายงานว่าการผลิตน้ำมันในสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่โรคโควิด-19 เริ่มแพร่ระบาด นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของจีน รวมทั้งความกังวลที่ว่ามาตรการควบคุมโควิด-19 ที่เข้มงวดของจีนจะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 1.37 ดอลลาร์ หรือ 1.6% ปิดที่ 86.53 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 94 เซนต์ หรือ 0.98% ปิดที่ 94.83 ดอลลาร์/บาร์เรล
ข้อมูลของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐระบุว่า การผลิตน้ำมันในเดือนส.ค.พุ่งขึ้นเกือบแตะระดับ 12 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่โรคโควิด-19 เริ่มแพร่ระบาด
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) ซึ่งระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตประจำเดือนต.ค. ปรับตัวลงแตะระดับ 49.2 จากระดับ 50.1 ในเดือนก.ย. ส่วนดัชนี PMI ภาคบริการร่วงลงสู่ร่ะดับ 48.7 จากระดับ 50.6 ในเดือนก.ย.
ทั้งนี้ ดัชนี PMI อยู่ต่ำกว่าระดับ 50 บ่งชี้ว่า ทั้งภาคการผลิตและภาคบริการของจีนอยู่ในภาวะหดตัว
เศรษฐกิจจีนได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการที่รัฐบาลประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมทั้งการส่งออกที่ชะลอตัวลง ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนลงมาอยู่ที่ 3.2% ในปี 2565 จากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระดับ 4.4% หลังจากมีการขยายตัว 8.1% ในปี 2564
นักลงทุนจับตารายงานข่าวที่ว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ เรียกร้องให้บริษัทน้ำมันและก๊าซนำผลกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์บางส่วนของพวกเขา มาช่วยลดค่าครองชีพแก่ครอบครัวชาวอเมริกัน
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐ โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในวันพุธที่ 2 พ.ย.