สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันศุกร์ (11 พ.ย.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการที่จีนประกาศผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 ซึ่งจะช่วยหนุนอุปสงค์น้ำมันในประเทศ นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์อันเนื่องมาจากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าคาด
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. พุ่งขึ้น 2.49 ดอลลาร์ หรือ 2.9% ปิดที่ 88.96 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่ยังคงลดลง 3.9% ในรอบสัปดาห์นี้
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนม.ค. พุ่งขึ้น 2.32 ดอลลาร์ หรือ 2.5% ปิดที่ 95.99 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่ยังคงลดลง 2.6% ในรอบสัปดาห์นี้
สัญญาน้ำมันดิบได้แรงหนุนหลังจีนส่งสัญญาณเปิดประเทศ โดยประกาศเมื่อวันศุกร์ (11 พ.ย.) ที่จะผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 ด้วยการลดระยะเวลาการกักตัวของผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศ รวมทั้งยกเลิกระบบการลงโทษสายการบินในกรณีที่พบผู้โดยสารติดเชื้อโควิด-19 ด้วย
ราคาน้ำมันยังได้ปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ ซึ่งจะเพิ่มความน่าดึงดูดของสัญญา โดยทำให้สัญญาน้ำมันมีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่นๆ
ดอลลาร์อ่อนค่าลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 เดือน โดยดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงินร่วงลงในวันศุกร์ 1.76% แตะที่ระดับ 106.2950
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ว่า เฟดจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคออกมาต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ซึ่งบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อของสหรัฐได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว
FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักสูงถึง 81% ที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.50% ในการประชุมวันที่ 13-14 ธ.ค. และให้น้ำหนัก 19% ที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.75%