สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 3% ในวันพุธ (30 พ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากรายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่ลดลงมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว รวมทั้งมุมมองบวกที่ว่าความต้องการใช้น้ำมันในจีนจะฟื้นตัว นอกจากนี้ การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังเป็นปัจจัยหนุนตลาดน้ำมันด้วย
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 2.35 ดอลลาร์ หรือ 3.01% ปิดที่ 80.55 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 2.40 ดอลลาร์ หรือ 2.8% ปิดที่ 85.43 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้น หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบลดลง 12.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 4.4 ล้านบาร์เรล
ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.82% แตะที่ 105.9470 เมื่อคืนนี้ ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนตลาด เนื่องจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ทำให้สัญญาน้ำมันดิบซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาถูกลงและน่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ
ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากการคาดการณ์ที่ว่า ความต้องการใช้น้ำมันในจีนจะฟื้นตัวหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เริ่มส่งสัญญาณดีขึ้น โดยคณะกรรมการด้านสุขภาพแห่งชาติของจีน (NHC) เปิดเผยว่า จีนพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 37,828 รายในวันอังคาร (29 พ.ย.) ลดลงจากระดับ 38,645 รายในวันจันทร์ (28 พ.ย.) ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันวันที่ 2
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์บางรายคาดการณ์ว่า เหตุการณ์ประท้วงที่เกิดขึ้นในจีนอาจจะผลักดันให้รัฐบาลยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์เร็วขึ้น โดยนายกาเบรียล วิลเดา นักวิเคราะห์จากบริษัทเทนีโอ โฮลดิ้งส์ในรัฐนิวยอร์กกล่าวว่า "ผมไม่คิดว่าปธน.สี จิ้นผิงจะออกมายอมรับความผิดพลาดและแสดงความอ่อนแอต่อหน้าสาธารณชน แต่การประท้วงในครั้งนี้อาจผลักดันให้รัฐบาลจีนเริ่มหันมาพิจารณาการยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์ในเวลาที่รวดเร็วกว่าแผนเดิมที่วางไว้"