สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันจันทร์ (12 ธ.ค.) โดยได้ปัจจัยบวกจากการคาดการณ์ที่ว่า อุปทานน้ำมันโลกจะเผชิญภาวะตึงตัว เนื่องจากท่อส่งน้ำมันคีย์สโตน (Keystone) ยังคงปิดทำการ และรัสเซียขู่ว่าจะลดกำลังการผลิตน้ำมัน
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 2.15 ดอลลาร์ หรือ 3% ปิดที่ 73.17 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 1.89 ดอลลาร์ หรือ 2.5% ปิดที่ 77.99 ดอลลาร์/บาร์เรล
บริษัททีซี เอนเนอร์จี (TC Energy) ของแคนาดาแถลงว่า ทางบริษัทกำลังพยายามซ่อมแซมรอยรั่วของท่อส่งน้ำมันคีย์สโตนซึ่งยังคงปิดทำการอยู่ในขณะนี้ และยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะกลับมาดำเนินการได้เมื่อใด โดยคีย์สโตนเป็นท่อส่งน้ำมันจากรัฐแอลเบอร์ตาของแคนาดาไปยังแถบกัลฟ์โคสต์และมิดเวสต์ของสหรัฐ
เทรดเดอร์กังวลว่า การซ่อมแซมรอยรั่วของท่อส่งน้ำมันคีย์สโตนอาจจะใช้เวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้ หลังจากมีน้ำมันรั่วไหลจำนวนมากกว่า 14,000 บาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว นอกจากนี้ คาดว่าปัญหาดังกล่าวจะส่งผลให้สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคูชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐ ปรับตัวลดลงด้วย
ขณะเดียวกันสัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้น หลังจากประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียขู่ว่า รัสเซียอาจจะปรับลดกำลังการผลิตมากขึ้นเพื่อตอบโต้ต่อการที่ชาติตะวันตกใช้มาตรการกำหนดเพดานราคาน้ำมันรัสเซีย
ทั้งนี้ ปธน.ปูตินกล่าวว่า ในการตอบโต้ชาติตะวันตกนั้น รัสเซียจะไม่ขายน้ำมันให้แก่ประเทศที่เข้าร่วมมาตรการกำหนดเพดานราคาน้ำมันรัสเซีย รวมทั้งมีความเป็นไปได้ที่รัสเซียจะปรับลดกำลังการผลิต หากมีความจำเป็น โดยรัสเซียมีข้อตกลงกับโอเปกพลัสเกี่ยวกับเป้าหมายการผลิต และรัสเซียอาจจะออกมาตรการตอบโต้เพิ่มเติมหากจำเป็น
นอกจากนี้ ปธน.ปูตินกล่าวว่า ขณะนี้รัสเซียกำลังเตรียมการสำหรับทางเลือกอื่น ๆ ในการตอบโต้ชาติตะวันตก และจะมีการออกกฤษฎีกาในไม่ช้าสำหรับมาตรการขั้นสุดท้าย