สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 2% ในวันพุธ (21 ธ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่ลดลงมากกว่าคาด รวมทั้งความหวังที่ว่าจีนจะผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง หลังจากไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. พุ่งขึ้น 2.06 ดอลลาร์ หรือ 2.7% ปิดที่ 78.29 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.พ. พุ่งขึ้น 2.21 ดอลลาร์ หรือ 2.76% ปิดที่ 82.20 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้น หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 5.9 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 1.7 ล้านบาร์เรล
ทางด้านสถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 3.1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากความหวังที่ว่า รัฐบาลจีนจะยังคงผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 และจะเปิดประเทศในไม่ช้า หลังจากมีรายงานว่าไม่พบผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เพิ่ม
นายแดน เยอร์กิน รองประธานบริษัทเอสแอนด์พี โกลบอลคาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะพุ่งแตะระดับ 121 ดอลลาร์/บาร์เรล เมื่อจีนกลับมาเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะทำให้อุปสงค์ในตลาดพุ่งขึ้นอย่างมาก โดยเอสแอนด์พี โกลบอลคาดการณ์ว่า ความต้องการใช้น้ำมันในจีนจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 15.7 ล้านบาร์เรล/วันในปี 2566 ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณ 700,000 บาร์เรล/วันจากระดับของปี 2565
สำหรับความเคลื่อนไหวในด้านอื่น ๆ นั้น เจ้าชายอับดูลาซิส บิน ซัลมาน รัฐมนตรีพลังงานซาอุดีอาระเบีย กล่าวว่า การที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส มีมติปรับลดกำลังการผลิตนั้น เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องในการรักษาเสถียรภาพของตลาดและอุตสาหกรรมน้ำมัน แม้ว่ามติดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากสหรัฐและชาติตะวันตกก็ตาม ทั้งนี้ โอเปกพลัสจัดการประชุมนโยบายการผลิตในวันที่ 4 ธ.ค. โดยมีมติปรับลดกำลังการผลิต 2 ล้านบาร์เรล/วันไปจนถึงสิ้นปี 2566 ท่ามกลางความไม่พอใจของสหรัฐและชาติตะวันตก ซึ่งต้องการให้โอเปกพลัสปรับเพิ่มกำลังการผลิต