สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันศุกร์ (23 ธ.ค.) หลังมีรายงานว่ารัสเซียลดการส่งออกน้ำมันดิบจากแถบบอลติก โดยข่าวดังกล่าวได้บดบังปัจจัยลบเกี่ยวกับสภาพอากาศหนาวเย็นในสหรัฐที่จะส่งผลกระทบต่อความต้องการเชื้อเพลิงเพื่อการเดินทางในช่วงเทศกาลวันหยุด
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. พุ่งขึ้น 2.07 ดอลลาร์ หรือ 2.6% ปิดที่ 79.56 ดอลลาร์/บาร์เรล และเพิ่มขึ้น 6.9% ในรอบสัปดาห์นี้
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.พ. พุ่งขึ้น 2.94 ดอลลาร์ หรือ 3.63% ปิดที่ 83.92 ดอลลาร์/บาร์เรล และปรับตัวขึ้น 6.2% ในรอบสัปดาห์นี้
สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น หลังจากสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า การส่งออกน้ำมันดิบจากภูมิภาคบอลติกของรัสเซียมีแนวโน้มลดลง 20% ในเดือนธ.ค. จากระดับของเดือนพ.ย. หลังจากสหภาพยุโรป (EU) และประเทศกลุ่ม G7 ได้ออกมาตรการคว่ำบาตรและควบคุมเพดานราคาน้ำมันของรัสเซียตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค.
ข่าวดังกล่าวช่วยหนุนราคาน้ำมัน และบดบังปัจจัยลบจากรายงานข่าวที่ว่า สายการบินในสหรัฐยกเลิกเที่ยวบินกว่า 4,400 เที่ยวเนื่องจากเกิดพายุหิมะ ซึ่งส่งผลให้ความต้องการในการเดินทางช่วงเทศกาลวันหยุดชะลอตัวลง
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้ปัจจัยบวกจากการที่สหรัฐมีแผนที่จะซื้อน้ำมันเพื่อนำเข้าสู่คลังสำรองทางยุทธศาสตร์ (SPR) รวมทั้งจากความหวังที่ว่าจีนจะกลับมาเปิดประเทศ หลังมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19
สำนักข่าว RIA ของทางการรัสเซียรายงานในวันศุกร์ว่า นายอเล็กซานเดอร์ โนวัค รองนายกรัฐมนตรีรัสเซียเปิดเผยว่า รัสเซียอาจปรับลดการผลิตน้ำมันลง 5%-7% ในช่วงต้นปี 2566 เพื่อตอบโต้มาตรการกำหนดเพดานราคาน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันด้วยการหยุดขายให้กับประเทศที่สนับสนุนมาตรการดังกล่าว
นอกจากนี้ ปริมาณน้ำมันทั่วโลกอาจตึงตัวมากขึ้น เนื่องจากกลุ่มโอเปกพลัสได้เริ่มปรับลดกำลังการผลิต 2 ล้านบาร์เรล/วันแล้วตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีนี้ไปจนถึงสิ้นปี 2566