สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (5 ม.ค.) โดยได้แรงหนุนจากตัวเลขสต็อกน้ำมันกลั่นและน้ำมันเบนซินของสหรัฐที่ปรับตัวลดลงในสัปดาห์ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 83 เซนต์ หรือ 1.14% ปิดที่ 73.67 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 85 เซนต์ หรือ 1.09% ปิดที่ 78.69 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซลลดลง 1.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 396,000 บาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 300,000 บาร์เรล เทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 1.7 ล้านบาร์เรล แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 4.5 ล้านบาร์เรล
ขณะเดียวกันราคาน้ำมันได้รับปัจจัยบวกข่าวการปิดท่อส่งน้ำมันของบริษัทโคโลเนียล ไปป์ไลน์ (Colonial Pipeline) ในสหรัฐเพื่อซ่อมบำรุง โดยคาดว่าจะกลับมาเปิดท่อส่งได้ในวันที่ 7 ม.ค.
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนส่งคำสั่งซื้อเก็งกำไรเข้าตลาด หลังราคาน้ำมันดิ่งลงในการซื้อขายวันอังคารและวันพุธรวมกันกว่า 9% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงในช่วง 2 วันทำการมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2534
อย่างไรก็ดี บรรยากาศการซื้อขายถูกกดดันในระหว่างวัน เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลว่าการหดตัวของภาคการผลิตในสหรัฐ และการพุ่งขึ้นของยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในจีน จะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน
ทั้งนี้ สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 48.4 ในเดือนธ.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 48.5 จากระดับ 49.0 ในเดือนพ.ย. โดยดัชนีอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 บ่งชี้ว่าภาคการผลิตของสหรัฐอยู่ในภาวะหดตัว และเป็นการหดตัวติดต่อกันเดือนที่ 2 เนื่องจากการดีดตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยได้ส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ในตลาด