สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเล็กน้อยในวันศุกร์ (6 ม.ค.) แต่ปิดลบในสัปดาห์แรกของการซื้อขายในปีนี้ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยและความต้องการใช้น้ำมัน
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 10 เซนต์ หรือ 0.14% ปิดที่ 73.77 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่ลดลง 8.1% ในรอบสัปดาห์นี้
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 12 เซนต์ หรือ 0.15% ปิดที่ 78.57 ดอลลาร์/บาร์เรล และลดลง 8.5% ในรอบสัปดาห์นี้
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ได้แรงหนุนจากดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงในวันศุกร์ โดยการอ่อนค่าของดอลลาร์จะเพิ่มความน่าดึงดูดของสัญญา โดยทำให้สัญญาน้ำมันมีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น ๆ
ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 1.11% แตะที่ 103.8790 ในวันศุกร์
อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นได้เพียงเล็กน้อย เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยและอุปสงค์น้ำมัน
นางคริสตาลินา จอร์เจียวา ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เตือนว่า เศรษฐกิจโลกในปี 2566 จะเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากมากขึ้น โดยเศรษฐกิจโลกราว 1 ใน 3 จะเข้าสู่ภาวะถดถอย
"ปี 2566 จะเป็นปีที่ยากลำบากมากกว่าปี 2565 เพราะกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐ สหภาพยุโรป และจีนชะลอตัวลงพร้อมกัน โดยในปี 2564 เศรษฐกิจจีนขยายตัวต่ำกว่าเศรษฐกิจโลก ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี ส่วนในปี 2566 เราคาดว่ายอดการติดเชื้อโควิด-19 ในจีนจะพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีน และฉุดรั้งเศรษฐกิจทั้งในภูมิภาคเอเชียและทั่วโลก" นางจอร์เจียวาให้สัมภาษณ์ในรายการ "Face the Nation" ทางสถานีโทรทัศน์ CBS เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ บรรดานักลงทุนยังคงวิตกว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในจีน จะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์น้ำมัน ขณะที่ราคาน้ำมันยังถูกกดดันหลังจากจีนประกาศเพิ่มโควตาส่งออกผลิตภัณฑ์น้ำมันในปีนี้ ซึ่งตลาดมองว่าเป็นสัญญาณบ่งชี้อุปสงค์ที่อ่อนแอภายในประเทศจีน