สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพุธ (18 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ ซึ่งบดบังปัจจัยบวกจากความหวังที่ว่าการเปิดประเทศของจีนจะช่วยกระตุ้นความต้องการใช้น้ำมัน
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 70 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 79.48 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 94 เซนต์ หรือ 1.1% ปิดที่ 84.98 ดอลลาร์/บาร์เรล
ในช่วงแรกนั้น สัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นขานรับความหวังที่ว่า การเปิดประเทศของจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันดิบรายใหญ่ที่สุดของโลกนั้น จะเป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้ปัจจัยหนุนในช่วงแรกจากการคาดการณ์ที่ว่า มาตรการกำหนดเพดานราคาน้ำมันซึ่งชาติตะวันตกบังคับใช้กับรัสเซียนั้นจะส่งผลให้อุปทานน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลง
แต่สัญญาน้ำมันดิบร่วงลงในเวลาต่อมา หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ซึ่งทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกดิ่งลง 1.1% ในเดือนธ.ค. ซึ่งย่ำแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลงเพียง 0.8% เนื่องจากผลกระทบจากยอดขายรถยนต์ที่ลดลง รวมทั้งการปรับตัวลงของราคาน้ำมันเบนซิน ซึ่งกระทบต่อยอดขายของสถานีบริการน้ำมัน
ขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต เพิ่มขึ้น 6.2% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 6.8% และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวมของสหรัฐลดลง 0.7% ในเดือนธ.ค. หลังจากปรับตัวลง 0.6% ในเดือนพ.ย.
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการที่นายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ และนางลอเรตตา เมสเตอร์ ประธานเฟด สาขาคลีฟแลนด์ ต่างก็ออกมาสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับสูงกว่า 5% เพื่อฉุดเงินเฟ้อให้กลับสู่เป้าหมาย
นักลงทุนจับตาตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐ โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในวันนี้