สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันอังคาร (31 ม.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ รวมทั้งข้อมูลที่บ่งชี้ว่าความต้องการน้ำมันดิบในสหรัฐปรับตัวสูงขึ้นในเดือนพ.ย.
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 97 เซนต์ หรือ 1.25% ปิดที่ 78.87 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 41 เซนต์ หรือ 0.48% ปิดที่ 84.49 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ดีดตัวขึ้นหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานว่า ความต้องการใช้น้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมในสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้น 178,000 บาร์เรล/วันในเดือนพ.ย. 2565 สู่ระดับ 20.59 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2565
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้ปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.18% แตะที่ระดับ 102.1000 เมื่อคืนนี้
ทั้งนี้ การอ่อนค่าของดอลลาร์ทำให้สัญญาน้ำมันดิบซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาถูกลงและน่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ
สำหรับปัจจัยที่ทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงนั้นมาจากรายงานที่ว่า ต้นทุนแรงงานในไตรมาส 4/2565 ของสหรัฐขยายตัวในอัตราต่ำสุดในรอบ 1 ปี ซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่วนในการประชุมครั้งล่าสุดซึ่งจะมีการแถลงในวันพุธที่ 1 ก.พ.ตามเวลาสหรัฐนั้น ตลาดคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.25%
นักลงทุนจับตาการประชุมคณะกรรมการร่วมด้านการตรวจสอบระดับรัฐมนตรี (JMMC) ของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร (โอเปกพลัส) ในวันนี้ รวมทั้งรายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ในวันนี้เช่นกัน
ทั้งนี้ ตลาดคาดการณ์ว่า ที่ประชุม JMMC จะมีมติให้โอเปกพลัสคงนโยบายปัจจุบันในการปรับลดกำลังการผลิต 2 ล้านบาร์เรล/วันไปจนถึงสิ้นปี 2566