สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันจันทร์ (6 ก.พ.) โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ความต้องการใช้น้ำมันในจีนจะฟื้นตัวหลังจากรัฐบาลผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 72 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 74.11 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 1.05 ดอลลาร์ หรือ 1.3% ปิดที่ 80.99 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้น ท่ามกลางความหวังที่ว่าความต้องการใช้น้ำมันในจีนจะฟื้นตัว หลังจากรัฐบาลผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิดและเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งขาเข้าและออก
สำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดการณ์ว่า การขยายตัวของความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกในช่วงครึ่งแรกของปีนี้จะมาจากจีน โดยคาดว่าความต้องการเชื้อเพลิงเครื่องบินจะพุ่งขึ้นอย่างมาก
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังปรับตัวขึ้นจากรายงานที่ว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงในตุรกีและซีเรียเมื่อช่วงเช้าวานนี้ได้ส่งผลให้การส่งออกน้ำมันที่ท่าเรือซีย์ฮานในตุรกีต้องหยุดชะงักลง
อย่างไรก็ดี สัญญาน้ำมันดิบถูกกดดันในระหว่างวัน จากปัจจัยดอลลาร์แข็งค่า และความกังวลที่ว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศขนาดใหญ่อาจจะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน โดยการแข็งค่าของดอลลาร์ส่งผลให้สัญญาน้ำมันดิบซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาแพงขึ้นและไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ
นักลงทุนจับตาผลกระทบจากการที่กลุ่ม G7, สหภาพยุโรป และออสเตรเลียได้กำหนดเพดานราคาน้ำมันรัสเซีย โดยมีผลบังคับใช้ในวันอาทิตย์ที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวจะกำหนดเพดานราคาน้ำมันรัสเซียที่ระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรลสำหรับน้ำมันดีเซลและผลิตภัณฑ์น้ำมันที่มีราคาซื้อขายสูงกว่าราคาน้ำมันดิบ และกำหนดเพดานราคาน้ำมันที่ระดับ 45 ดอลลาร์/บาร์เรลสำหรับผลิตภัณฑ์น้ำมันที่มีราคาซื้อขายต่ำกว่าราคาน้ำมันดิบ